ใหม่! เข้าสู่ระบบเพื่อจัดการบัญชีของคุณ ดูบันทึก ดาวน์โหลดรายงาน (PDF/CSV) และดูข้อมูลสำรองของคุณ เข้าสู่ระบบที่นี่!
แชร์บทความนี้:

ฮอร์โมนทดแทนในวัยหมดประจำเดือน: คืออะไรและมีตัวเลือกอะไรบ้าง

ตลอดชีวิตของผู้หญิง ร่างกายของเธอต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงมากมาย วัยหมดประจำเดือนถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ สะท้อนถึงการสิ้นสุดของวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านที่อาจกินเวลาหลายปีและเต็มไปด้วยอาการรบกวนชีวิตหลายอย่าง การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน (HRT) เป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดผลกระทบของอาการเหล่านี้ยากที่สุด ในบทความนี้เราจะพูดถึงประโยชน์และความเสี่ยงของการใช้ฮอร์โมนทดแทน

สำรวจการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน (HRT) สำหรับอาการวัยหมดประจำเดือน เรียนรู้ตัวเลือก ประโยชน์ และความเสี่ยงเพื่อการตัดสินใจที่ดีด้านสุขภาพผู้หญิง

วัยหมดประจำเดือน คือการมีประจำเดือนครั้งสุดท้ายของผู้หญิง ซึ่งโดยทั่วไปเกิดขึ้นระหว่างอายุ 40-58 ปี เฉลี่ยที่ประมาณ 51 ปี แต่ก่อนหน้านี้ ผู้หญิงจะเข้าสู่ภาวะก่อนหมดประจำเดือน (perimenopause) หรือช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ซึ่งมักใช้เวลาหลายปี ในช่วงนี้ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเผชิญกับอาการรอบเดือนมาไม่ปกติ ร้อนวูบวาบ เหงื่อออกกลางคืน อารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ ความต้องการทางเพศลดลง และช่องคลอดแห้ง นอกจากนี้ผู้หญิงในช่วงนี้ยังเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุน โรคหัวใจ และมะเร็งบางประเภทเพิ่มขึ้นอีกด้วย

วัยหมดประจำเดือนคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร?

การเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแบ่งเป็น 3 ระยะคือ ระยะก่อนหมดประจำเดือน (Perimenopause) ซึ่งโดยทั่วไปกินเวลา 4-8 ปี บางรายอาจนานกว่านั้น ระยะหมดประจำเดือน (Menopause) หรือการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย ซึ่งได้รับการยืนยันเมื่อขาดประจำเดือนตลอดทั้งปี และหลังจากผ่านไป 12 เดือน คือ ระยะหลังหมดประจำเดือน (Postmenopause) ในช่วง 2-5 ปีแรกหลังหมดประจำเดือน ผู้หญิงบางคนยังอาจมีอาการเหล่านี้เป็นครั้งคราว แต่ความถี่และความรุนแรงจะลดลง

เมื่อผู้หญิงเข้าสู่ปลายวัยเจริญพันธุ์ ฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่ทั้งเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนผลิตลดลงอย่างมาก แม้ว่าร่างกายจะยังสร้างเทสโทสเตอโรนต่ออีกระยะหนึ่ง ฮอร์โมนเหล่านี้ไม่ได้สำคัญแค่กับการสืบพันธุ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อระบบต่อมไร้ท่อโดยรวม ร่างกายต้องปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงนี้ซึ่งอาจไม่สบายตัวและท้าทายสำหรับหลายคน อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยรู้สึกโล่งใจที่ไม่ต้องทนทุกข์กับประจำเดือนหรือปัญหาฮอร์โมนอื่น ๆ อีกต่อไป

ประเภทของวัยหมดประจำเดือน

  • วัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป มักพบในช่วงอายุ 45-55 ปี
  • วัยหมดประจำเดือนก่อนวัย อาจเกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การสูบบุหรี่ ซึ่งทำให้หมดประจำเดือนเร็วกว่าคนไม่สูบบุหรี่โดยเฉลี่ย 2 ปี
  • วัยหมดประจำเดือนที่ถูกกระตุ้น เกิดได้ทุกช่วงอายุก่อนหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ หากต้องผ่าตัดรังไข่หรือมดลูกออก หรือได้รับผลกระทบจากยาบางชนิด เช่น การผ่าตัดมดลูกหรือรักษามะเร็งที่เป็นสาเหตุหลักของภาวะนี้

อาการของวัยหมดประจำเดือนมีอะไรบ้าง?

ผู้หญิงแต่ละคนอาจเผชิญกับประสบการณ์และความรุนแรงของอาการที่ต่างกันไป แต่อาการที่พบบ่อย ได้แก่:

  • ประจำเดือนมาไม่ปกติ—เข้าช่วงวัยหมดประจำเดือน รอบเดือนมักเริ่มไม่สม่ำเสมอ อาจมามากขึ้นในช่วงแรก จากนั้นจะสั้นลงหรือข้ามเดือน
  • ร้อนวูบวาบ—อาการรู้สึกตัวร้อนแบบฉับพลัน บางครั้งผิวแดงหรือมีเหงื่อออก พบบ่อยในช่วงก่อนหมดประจำเดือน เป็นอยู่ตั้งแต่ 30 วินาทีถึงหลายนาที และอาจเกิดซ้ำหลายครั้งทั้งกลางวันและกลางคืน (เหงื่อออกกลางคืน) ผู้หญิงบางคนพบว่าร้อนวูบวาบรบกวนชีวิตประจำวันอย่างรุนแรง
  • นอนหลับยาก—ขาดเอสโตรเจนสัมพันธ์กับอาการนอนไม่หลับหรือหลับ ๆ ตื่น ๆ
  • ช่องคลอดฝ่อ—เมื่ออายุมากขึ้น ช่องคลอดจะสร้างสารหล่อลื่นตามธรรมชาติลดลง ผิวบริเวณนั้นบางและเปราะง่ายขึ้น ส่งผลให้เจ็บเวลาเพศสัมพันธ์ และเสี่ยงติดเชื้อมากขึ้นจากแผลเล็ก ๆ
  • อารมณ์แปรปรวน—การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนมีผลต่อระบบประสาท อาจทำให้หงุดหงิด วิตกกังวล ตื่นตระหนก หรือซึมเศร้า หลายคนรู้สึกโกรธง่ายจากทั้งผลของฮอร์โมนและแรงกดดันจากชีวิตช่วงนี้
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่—มวลกล้ามเนื้อลดลงในขณะที่ไขมันเพิ่มมากขึ้นในช่วงก่อนหมดประจำเดือน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่
  • สุขภาพเส้นผมและผิว—เมื่ออายุมากขึ้น คอลลาเจนในผิวลดลง ทำให้ผิวสูญเสียความยืดหยุ่น เกิดริ้วรอย และดูหมองคล้ำ เส้นผมแห้ง เปราะ หรือหลุดร่วงมากขึ้น

อ่านเกี่ยวกับการดูแลผิวต้านริ้วรอยเพิ่มเติม

ฮอร์โมนทดแทนคืออะไร?

การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน (Hormone Replacement Therapy: HRT) ออกแบบมาเพื่อลดอาการวัยหมดประจำเดือนโดยการเสริมฮอร์โมนที่ร่างกายของผู้หญิงไม่ได้ผลิตเองอีกต่อไป HRT มีหลายรูปแบบ เช่น ยาเม็ด แผ่นแปะ ครีม สเปรย์ หรือแบบฝังใต้ผิวหนัง

HRT ต้องจ่ายโดยแพทย์เท่านั้น ส่วนใหญ่มักประกอบด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน (หรือโพรเจสตินซึ่งเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์) เพื่อป้องกันภาวะเอสโตรเจนเกิน สามารถใช้รักษาอาการช่วงก่อนหมดประจำเดือนได้นานเท่าที่จำเป็น แต่โดยทั่วไปไม่แนะนำให้ใช้นานเกิน 5 ปี

ทางเลือกของ HRT มีอะไรบ้าง?

HRT มีให้เลือกหลายแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละคน การตัดสินใจใช้ HRT จึงควรพิจารณาทั้งประโยชน์และความเสี่ยงร่วมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหาตัวเลือกที่เหมาะสมกับคุณที่สุด

ค้นพบตัวเลือกการบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทน (HRT) เพื่อจัดการอาการวัยหมดประจำเดือน


ตัวเลือกของ HRT :

  • ยาเม็ด รับประทานวันละ 1 ครั้ง
  • แผ่นแปะผิวหนัง ปล่อยฮอร์โมนเข้าสู่กระแสเลือดอย่างต่อเนื่อง
  • เจลทาผิว ทาเป็นประจำทุกวัน
  • แบบฝังใต้ผิวหนัง มักฝังบริเวณหน้าท้อง เพื่อปล่อยเอสโตรเจนอย่างช้า ๆ
  • เจลเทสโทสเตอโรน แม้จะไม่ได้แนะนำในทุกกรณี แต่สามารถช่วยเพิ่มความต้องการทางเพศที่ลดลง
  • เจลเอสโตรเจนช่องคลอด ใช้เฉพาะที่สำหรับอาการช่องคลอดแห้ง ไม่ช่วยกับอาการอื่น

HRT สามารถใช้ได้ทั้งแบบต่อเนื่องหรือแบบเป็นรอบ แบบรอบ (Cyclical/Sequential) คือการรับเอสโตรเจนทุกวันและเสริมโปรเจสเตอโรนในช่วง 14 วันสุดท้ายของแต่ละเดือน โดยแพทย์อาจจ่ายแบบรายเดือน (สำหรับคนที่ยังมีประจำเดือน) หรือเป็นรอบ 3 เดือน (มีประจำเดือนทุก 3 เดือน) ส่วนแบบต่อเนื่องจะใช้เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนทุกวันโดยไม่เว้นช่วง เหมาะกับผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน

ประโยชน์ของฮอร์โมนทดแทน

ผู้หญิงจำนวนมากเลือกใช้ HRT เพื่อบรรเทาอาการระหว่างวัยหมดประจำเดือน อาการร้อนวูบวาบอาจรุนแรงจนตื่นกลางดึกด้วยเหงื่อท่วม หรือรู้สึกวิงเวียน ช่องคลอดแห้งก็สร้างความไม่สบายและอาจเจ็บหรือเกิดแผลขณะมีเพศสัมพันธ์ อาการอื่น ๆ เช่น อารมณ์แปรปรวนและนอนไม่หลับก็สามารถดีขึ้นเมื่อใช้ HRT

ประโยชน์อื่น ๆ ของ HRT :

  • ลดความเสี่ยงเป็นเบาหวาน
  • ลดความเสี่ยงกระดูกพรุน โดยเฉพาะหากเริ่มใช้ก่อนหมดประจำเดือน
  • ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้

ความเสี่ยงของ HRT

ฮอร์โมนทดแทนอาจเป็นทางรอดของผู้หญิงที่มีอาการรุนแรงช่วงก่อนหมดประจำเดือน อย่างไรก็ตามการใช้ฮอร์โมนระยะยาวเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงต่อสุขภาพหลายด้าน ซึ่งอาจมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ

Advertisement


ความเสี่ยงที่พบ :

มะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านมมักตอบสนองต่อเอสโตรเจน การมีเอสโตรเจนมากเกินจำเป็นเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งเต้านม งานวิจัยพบว่าการใช้ HRT เกิน 5 ปีเสี่ยงมะเร็งเต้านมสูงกว่าผู้ที่ไม่เคยใช้หรือใช้ไม่ถึง 5 ปี

โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง

การศึกษาต่าง ๆ ระบุว่า HRT อาจเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ผลลัพธ์แตกต่างไปตามช่วงเวลาที่เริ่มใช้ โดยพบความเสี่ยงต่ำที่สุดในผู้หญิงที่เริ่มใช้ HRT ก่อนอายุ 60 ปี หรือไม่เกิน 10 ปีหลังหมดประจำเดือน

ลิ่มเลือดดำ (Venous thrombosis)

HRT ที่มีเอสโตรเจนเพิ่มโอกาสเกิดลิ่มเลือดดำในหลอดเลือดดำ แต่บางงานวิจัยพบว่าผู้หญิงที่ใช้ HRT ที่มีเอสตราไดออล เสี่ยงลิ่มเลือดน้อยกว่ากลุ่มอื่น

มะเร็งรังไข่

งานวิจัยเปรียบเทียบผู้หญิงที่ใช้ HRT กับกลุ่มที่ไม่เคยใช้ พบว่ากลุ่มที่ใช้มีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่สูงขึ้น 1.28 เท่า

ถุงน้ำดีอักเสบ (Cholecystitis)

ถุงน้ำดีอักเสบเกิดจากนิ่วอุดตันถุงน้ำดี ก่อให้เกิดอาการอืดท้องและปวดท้องส่วนบนด้านขวา สามารถรักษาได้หากวินิจฉัยถูกต้อง โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนมากกว่าคนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ HRT

ใครบ้างที่ไม่ควรใช้ HRT?

ด้วยความเสี่ยงที่ทราบดีของฮอร์โมนทดแทน ผู้หญิงที่มีประวัติมะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ ลิ่มเลือดในหลอดเลือดซีสต์มดลูก หรือเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจน แนะนำให้พิจารณาทางเลือกอื่น

สำหรับผู้หญิงที่ไม่เหมาะแก่การใช้ HRT ยังมีทางเลือกอื่นอีกมาก เช่น การดูแลตัวเองด้วยอาหารสุขภาพและการออกกำลังกาย ซึ่งดีสำหรับผู้หญิงที่กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนแปลงนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีสมุนไพร ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และยาบางชนิดที่ช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ หรือช่องคลอดแห้งได้

สรุป

วัยหมดประจำเดือนเป็นช่วงเปลี่ยนแปลงที่ท้าทาย มีหลายวิธีในการดูแลอาการและทำให้การเปลี่ยนผ่านนี้เป็นเรื่องง่ายขึ้น การบำบัดด้วยฮอร์โมนทดแทนอาจช่วยผู้หญิงจำนวนมากในภาวะที่อาการรุนแรงที่สุด แต่ก็มีความเสี่ยงที่ควรพิจารณาเสมอ หากคุณสนใจ HRT ควรปรึกษาแพทย์เพื่อวางแผนทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง

คุณสามารถติดตามรอบเดือนของคุณด้วย WomanLog ดาวน์โหลด WomanLog ได้เลย:

ดาวน์โหลดจาก App Store

ดาวน์โหลดจาก Google Play

แชร์บทความนี้:
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/10213546/
https://my.clevelandclinic.org/health/articles/16979-estrogen--hormones#:~:text=During%20the%20first%20year%20of,with%20women%20not%20taking%20HRT
https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/23851166/
https://www.bmj.com/content/364/bmj.k4810
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/labs/pmc/articles/PMC4551472/#:~:text=A%20meta%2Danalysis%20of%20nine,to%20never%20users%20%5B6%5D
https://www.bmj.com/content/337/bmj.a386
https://www.uspharmacist.com/article/menopause-changes-and-challenges#:~:text=These%20may%20include%20physical%20symptoms,time%2C%20these%20symptoms%20gradually%20disappear.&text=Although%20menopause%20ends%20fertility%2C%20women,healthy%2C%20vital%2C%20and%20sexual
https://www.nhs.uk/conditions/hormone-replacement-therapy-hrt/#:~:text=But%20HRT%20may%20not%20be,before%20you%20can%20start%20HRT
Advertisement


ภาวะมดลูกหย่อนส่งผลกระทบต่อผู้หญิงวัยหลังหมดประจำเดือนเกือบครึ่งหนึ่ง นี่เป็นปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงซึ่งมักต้องได้รับการรักษาทางการแพทย์หรือแม้กระทั่งผ่าตัด อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีเสริมสร้างกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเพื่อช่วยป้องกันภาวะมดลูกหย่อนในอนาคตได้เช่นกัน
แทบไม่มีใครปฏิเสธการได้นวดผ่อนคลายหลังทำงานหนักมาตลอดวัน การนวดอาจเป็นการบำบัดฟื้นฟูสุขภาพ ความจำเป็นทางการแพทย์ ส่วนหนึ่งของการฝึกกีฬาหรือแม้แต่การเดินทางจิตวิญญาณ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใด การนวดเป็นวิธีดูแลร่างกายที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้หญิงค่ะ
ผิวหนังของคุณตอบสนองกับทุกสิ่งในสิ่งแวดล้อม สภาพอากาศและอาหารของคุณเป็นเพียงสองปัจจัยในหลาย ๆ อย่างที่มีผลต่อโครงสร้างและสุขภาพของผิวหนัง ผิวแห้งเป็นอาการที่พบได้บ่อยจากอิทธิพลต่าง ๆ ซึ่งโดยมากสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ