ใหม่! เข้าสู่ระบบเพื่อจัดการบัญชีของคุณ ดูบันทึก ดาวน์โหลดรายงาน (PDF/CSV) และดูข้อมูลสำรองของคุณ เข้าสู่ระบบที่นี่!
แชร์บทความนี้:

ใช้ชีวิตกับโรคไบโพลาร์

สุขภาพจิตยังคงเป็นประเด็นที่หลายคนยังไม่กล้าพูดถึงกันอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ตามจากการศึกษาบางฉบับพบว่า อาจมีคนถึง 1 ใน 4 ทั่วโลกที่กำลังใช้ชีวิตกับอาการป่วยทางจิตใจรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ในบทความนี้เราจะพาทุกท่านทำความรู้จักกับโรคไบโพลาร์และวิถีชีวิตของผู้ที่เป็นโรคนี้

กราฟิกให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ 'โรคไบโพลาร์'

โรคไบโพลาร์หรือที่เคยเรียกว่าภาวะอารมณ์สองขั้ว (manic-depressive disorder) เป็นภาวะรุนแรงที่ทำให้บุคคลเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์อย่างหนักหน่วง หลายคนมักใช้คำนี้กับคนที่มีอารมณ์แปรปรวน ทั้งที่ความจริงเราเองก็เจอวันดีวันร้ายได้ตามเหตุการณ์ในชีวิตหรือวงจรฮอร์โมน แต่โรคไบโพลาร์นั้นแตกต่างและซับซ้อนกว่านั้นมาก

โรคไบโพลาร์คืออะไร?

คนที่เป็นโรคไบโพลาร์ (BD) จะมีการเหวี่ยงของอารมณ์อย่างสุดขั้วในช่วงต่าง ๆ ตั้งแต่ ช่วงคลุ้มคลั่ง (manic episode) ที่รู้สึก ปลาบปลื้มยินดีเกินเหตุ หุนหันพลันแล่น มีพลังงานมาก ไปจนถึงช่วง ซึมเศร้าหนัก (depressive episode) เหนื่อยล้า รู้สึกไร้ค่าและหมดแรง แต่ในบางช่วงก็อาจไม่มีอาการใด ๆ ได้ ภาวะนี้มักเริ่มต้นระหว่างอายุ 15-20 ปี แม้จะไม่จำเป็นต้องเป็นทุกคน กะว่ามีผู้คนราว 46 ล้านคนทั่วโลกที่ต้องใช้ชีวิตกับโรคไบโพลาร์ โรคนี้ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ป่วยและคนใกล้ชิดอย่างมาก

ผู้ที่มี BD หลายคนอาจประสบปัญหาในการดำเนินชีวิตประจำวัน ทั้งเรื่องการทำงานหรือความสัมพันธ์ ซึมเศร้าหนักอาจนำไปสู่พฤติกรรมพยายามฆ่าตัวตาย ส่วนช่วงคลุ้มคลั่งมีแนวโน้มทำเรื่องเสี่ยง เช่น ใช้เงินเกินตัว มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือใช้สารเสพติด พบว่าผู้ป่วย BD ถึง 17% เคยพยายามจบชีวิตตัวเอง และ 60% เคยติดสารเสพติด ภาวะนี้ซับซ้อนและต้องได้รับการรักษาพร้อมเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตอย่างมาก แต่ก็สามารถจัดการและมีชีวิตที่ดี มีความสุขกับการทำงานและครอบครัวได้

การวินิจฉัยโรคไบโพลาร์

แพทย์และนักบำบัดต้องแยกแยะโรคและอาการต่าง ๆ ให้ชัดก่อนวินิจฉัย เนื่องจากหลายโรคมีอาการคล้ายกัน โดยเฉพาะโรคไบโพลาร์ซึ่งอาการมาเป็นระยะ อาจต้องใช้เวลาสังเกตสักพักใหญ่เพื่อให้เห็นภาพรวมของอาการ

แม้ปัจจุบันการแชร์ข้อมูลทำได้สะดวกมากขึ้น แต่เกณฑ์การวินิจฉัยในแต่ละประเทศก็ยังมีความต่างกัน ที่สหรัฐอเมริกา นิยมใช้เกณฑ์จาก DSM-5 (คู่มือวินิจฉัยโรคจิตเวชฉบับที่ 5 ของสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน)

เกณฑ์ DSM-5 กำหนดว่าผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไบโพลาร์ชนิดที่ 1 จะต้องเคยมีภาวะ mania อย่างน้อย 1 ช่วง นานต่อเนื่องอย่างต่ำ 1 สัปดาห์ (โดยอาการปรากฏเกือบตลอดทั้งวันทุกวัน) และต้องมีภาวะซึมเศร้าครั้งใหญ่ (major depressive episode) นานต่อเนื่องอย่างต่ำ 2 สัปดาห์อย่างน้อย 1 ครั้ง

Mania (คลุ้มคลั่ง) หมายถึงช่วงที่อารมณ์ขยายกว้างมากขึ้น หงุดหงิดง่าย หรืออารมณ์สูงผิดปกติ พร้อมมีอาการอย่างน้อย 3 ข้อต่อไปนี้ซึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างมีนัยสำคัญจนกระทบชีวิตหลายด้าน และไม่สามารถอธิบายได้ด้วยโรคหรือสารเสพติดอื่น ๆ

  1. มั่นใจในตัวเองเกินจริงหรือคิดว่าตนมีพลังพิเศษ
  2. ต้องการนอนน้อยลง (เช่น รู้สึกสดชื่นแม้นอนแค่ 3 ชั่วโมง)
  3. พูดมากผิดปกติหรือหยุดพูดไม่ได้
  4. สมองคิดฟุ้งซ่านหรือคิดเร็วตลอดเวลา
  5. เสียสมาธิ ถูกกระตุ้นโดยสิ่งรบกวนเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ง่าย
  6. ทำกิจกรรมมากผิดปกติ (เช่น เรื่องสังคม ที่ทำงาน รร. หรือเรื่องเพศ) หรือกระสับกระส่าย
  7. พัวพันกิจกรรมที่อาจมีผลเสียรุนแรง (เช่น ช็อปปิ้งจนหมดตัว มีเพศสัมพันธ์โดยไม่คิด หรือลงทุนผิดพลาด)

Hypomania (กึ่งคลุ้มคลั่ง) มีอาการคล้าย mania แต่สั้นกว่า (อย่างน้อย 4 วัน) และไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันรุนแรง

Major depressive episode (ซึมเศร้ารุนแรง) หมายถึงช่วงเวลา 2 สัปดาห์หรือมากกว่า ซึ่งจะมีอารมณ์ซึมเศร้า ขาดความสนใจหรือหมดความสุข ในกิจกรรมที่เคยชอบ โดยต้องมีอาการอย่างน้อย 5 ข้อจากนี้ ซึ่งเกิดขึ้นเกือบทั้งวัน ไม่เกี่ยวกับโรคหรือยา

  1. อารมณ์ซึมเศร้าส่วนใหญ่ของวัน
  2. หมดความสนใจหรือความสุขในทุกกิจกรรมหรือเกือบทุกกิจกรรม
  3. น้ำหนักเปลี่ยนแปลงมาก อยากอาหารเปลี่ยนมาก
  4. นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป
  5. กระสับกระส่ายหรือเฉื่อยชาอย่างเห็นได้ชัด
  6. เหนื่อยล้าง่าย ขาดพลังงาน
  7. รู้สึกไร้ค่า รู้สึกผิด (อาจถึงขั้นมีความเชื่อผิด)
  8. คิดไม่ออก หรือตัดสินใจไม่ได้
  9. คิดถึงความตายอยู่บ่อย ๆ คิดอยากตายบ่อย ๆ หรือเคยพยายามฆ่าตัวตายโดยไม่มีแผนที่ชัดเจน

อธิบายภาพความแตกต่างระหว่างไบโพลาร์ 1 และไบโพลาร์ 2


อะไรคือความแตกต่างระหว่างไบโพลาร์ 1 กับไบโพลาร์ 2?

ปัจจุบันนักบำบัดหลายรายมองว่า โรคไบโพลาร์เป็นกลุ่มอาการแบบต่อเนื่อง (spectrum) โดยความรุนแรง ระยะเวลา และความซับซ้อนของอาการจะขึ้นกับบุคลิก ประวัติครอบครัว สถานการณ์ อายุ และปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ ชนิดของโรคยังมีผลต่อแนวทางรักษาอีกด้วย

  • ไบโพลาร์ 1 จะมีทั้งช่วง mania และซึมเศร้า หากมีอาการหลงผิดหรือภาวะจิตหลอน จะวินิจฉัยเป็นไบโพลาร์ 1 โดยอัตโนมัติ
  • ไบโพลาร์ 2 เกิดช่วง hypomania กับซึมเศร้า อาการมักไม่รุนแรงถึงขีดที่หยุดใช้ชีวิตปกติได้ แต่โดยทั่วไปมักเรื้อรังและซึมเศร้าต่อเนื่องนานกว่าชนิดที่ 1
  • ไซโคลไทเมีย (Cyclothymia) คือรูปแบบที่เบากว่า มีอารมณ์แปรปรวนระหว่าง hypomania กับซึมเศร้าระยะสั้น ๆ สลับกับช่วงอารมณ์ปกติ
  • ไบโพลาร์ไม่ระบุประเภท (Unspecified bipolar disorder) ใช้ในผู้ที่มีอาการเหมือนไบโพลาร์แต่ไม่เข้าเกณฑ์ข้อใดข้อหนึ่งข้างต้น

ภาวะจิตหลอน: อาการร่วมของโรคไบโพลาร์

นอกเหนือจากอาการข้างต้น ผู้ที่มีอาการ manic หรือ depressive ขั้นรุนแรง อาจเจออาการจิตหลอนได้ เช่น ประสาทหลอน หรือความเชื่อผิดโดยไม่มีหลักฐานจริง ประสาทหลอน (hallucination) ไม่ใช่การเข้าใจผิดธรรมดา แต่คือการที่ประสาทสัมผัสสร้างภาพหรือเสียงเทียมขึ้นมาเอง (พบมากในโรคทางจิต) ส่วน ความเชื่อผิด (delusion) คือความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง เช่น เชื่อว่าถูกตามรังควาน หรือว่าตนเองมีอำนาจเหนือธรรมชาติ

ลักษณะของจิตหลอนในโรคไบโพลาร์เป็นอย่างไร?

อาการหลงผิดทางจิตอาจพบทั้งในช่วง mania และ depressive ในช่วงซึมเศร้า มักอยู่ในรูป nihilistic (ไม่เหลืออะไรมีค่า ไม่อยากมีชีวิตอยู่) ซึ่งอันตรายและอาจนำไปสู่การฆ่าตัวตาย แต่ระหว่าง mania มักเป็นแบบ grandiose (คิดว่าตนสำคัญอย่างมาก) ความคิดเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงทัศนคติหรือความคิดเห็น แต่คือข้อเท็จจริงสำหรับผู้ป่วยเอง อาการหลงผิดมักจะดีขึ้นเมื่ออาการ mania หรือ depressive เริ่มลดลง แต่บางกรณีอาจต้องพึ่งการแพทย์

สิ่งกระตุ้นโรคไบโพลาร์คืออะไร?

โรคทางจิตและกลุ่มความผิดปกติทางอารมณ์อาจมีหลายสาเหตุ แต่ละคนก็มีเรื่องราวของตัวเอง ประมาณ 80% ของผู้ป่วย BD สืบทอดแนวโน้มบางอย่างจากพ่อแม่ ประสบการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจ เช่น ความรุนแรงในวัยเด็ก โรคหนัก หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ อาจเป็นตัวกระตุ้นหรือทำให้โรคแย่ลง ปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ความผิดปกติของสารในสมอง การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน การแพ้อาหาร ระบบลิมบิกผิดปกติ ฯลฯ โรคนี้มักเริ่มเผยอาการในช่วงวัยรุ่น แต่หลายคนไม่ได้รับการวินิจฉัยจนโตแล้ว เพราะธรรมชาติของโรคเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ความรู้สึกกดดัน โดดเดี่ยว และการตีตราทางสังคมล้วนเป็นอุปสรรคต่อการพูดคุยและหาทางออก

ผู้ชายและผู้หญิงมีอาการไบโพลาร์เหมือนกันหรือไม่?

ทั้งผู้หญิงและผู้ชายมีแนวโน้มเป็น BD ใกล้เคียงกัน แต่ผู้หญิงจะพบไบโพลาร์ชนิดที่ 2 มากกว่า รวมถึงประสบช่วงซึมเศร้า ช่วงอารมณ์ผสม และช่วงแปรปรวนเร็ว (rapid cycling) มากกว่าผู้ชาย ผู้ชายมักแสดง mania ก่อน ส่วนผู้หญิงมักมาด้วยซึมเศร้าก่อน นอกจากนี้ผู้หญิงยังมักถูกวินิจฉัยผิดเป็นซึมเศร้าแบบขั้วเดียว (unipolar depression) ทำให้รักษาล่าช้า

ผู้หญิงที่เป็น BD หลายคนพบว่า การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างมีประจำเดือน ตั้งครรภ์ และช่วงวัยหมดประจำเดือน ทำให้อาการกำเริบขึ้น รวมทั้งมีโอกาสเกิดโรคร่วม (co-morbidities) เช่น ไมเกรน โรคอ้วน หรือไทรอยด์ผิดปกติสูงกว่า และมักเป็นไบโพลาร์ที่เริ่มแสดงอาการช้ากว่าผู้ชายโดยเฉพาะช่วงใกล้หมดประจำเดือน นอกจากนี้ผู้หญิงที่มี BD ยังมีความเสี่ยงถูกล่วงละเมิดทางเพศสูงกว่าและเสี่ยงต่อเหตุการณ์ซ้ำจนอาการสงบ ความแตกต่างเหล่านี้ควรคำนึงถึงเวลาวางแผนรักษา

ภาพสะท้อนชีวิตประจำวันของผู้มีโรคไบโพลาร์ แสดงความเข้มแข็ง สมดุล และการมุ่งหาคุณภาพชีวิตแม้ต้องเผชิญความท้าทาย


สามารถใช้ชีวิตปกติกับโรคไบโพลาร์ได้ไหม?

โรคไบโพลาร์อาจร้ายแรงจนกระทบชีวิตประจำวันหนักมาก หากอาการกำเริบบ่อยอาจทำงานไม่ได้ สัมพันธ์ไม่มั่นคง หรือดูแลสุขภาพตัวเองไม่ได้ อาจเกิดพฤติกรรมเสี่ยงหรือทำร้ายตัวเอง รวมถึงพยายามฆ่าตัวตาย การถูกอารมณ์กระชากไปมาโดยควบคุมไม่ได้เป็นภาระหนักใจจนรู้สึกอับอายและโดดเดี่ยวไม่กล้าขอความช่วยเหลือ

คนที่ไม่เข้าใจเรื่องสุขภาพจิตมักตัดสินหรือมองข้ามปัญหา แม้แต่คนที่หวังดีแต่ขาดความรู้ก็อาจยิ่งทำให้แย่ลงเพราะไม่เข้าใจแก่นปัญหา

Advertisement


ถึงอย่างไรคนจำนวนมากที่มีไบโพลาร์ก็สามารถเรียนรู้ จัดการ และดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขและประสบความสำเร็จได้ กุญแจสำคัญคือความรู้ การสนับสนุน และเดินตามแผนจัดการอาการอย่างต่อเนื่อง

ศิลปินและคนดังบางคนยกเครดิตให้ช่วง mania กับความคิดสร้างสรรค์ แต่ผลข้างเคียงก็มาก คนดังที่กล้าพูดถึงประสบการณ์ตนเอง เช่น สตีเฟ่น ฟราย และมารายห์ แครี ช่วยลดอคติต่อโรคนี้ได้มาก

วิธีรักษาไบโพลาร์ที่ได้ผลดีที่สุดคืออะไร?

ขั้นแรกต้องได้รับการวินิจฉัย หากคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการคล้ายในบทความนี้ ควรหาแพทย์หรือนักบำบัดที่รู้สึกไว้ใจได้ ไม่ใช่ทุกคนจะเหมาะกับเราเสมอ แต่ขอเพียงลองหาเรื่อย ๆ ก็จะเจอคนที่ใช่ อย่าพึ่งวินิจฉัยตัวเอง เพราะมักตีความผิดและทำให้เสียเวลาในการฟื้นฟู เรามักแต่งเรื่องราวในใจมากมายเมื่อสภาพจิตใจย่ำแย่ ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นที่ช่วยสะท้อนปัญหาและวางแผนฟื้นฟูเร็วขึ้นได้อย่างแท้จริง

หากมีการวินิจฉัยชัด นักบำบัดอาจร่วมมือกับจิตแพทย์ในการเลือกยาเพื่อบรรเทาอาการ เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยาปรับอารมณ์ ยาต้านโรคจิต หรือหลายชนิดร่วมกัน ขึ้นอยู่กับอาการ อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีเรื่องโรคทางจิตเกิดจากเคมีในสมองเสียสมดุลเริ่มไม่เป็นที่ยอมรับแล้ว งานวิจัยใหม่พบว่ายาต้านซึมเศร้าทำงานได้จริงแค่ 30% ของผู้ป่วยและบางรายมีผลข้างเคียงมาก แต่เมื่อใช้ได้ผลก็ช่วยมาก ถ้าไม่ได้ผลอาจต้องใช้วิธีอื่น เช่น การกระตุ้นสมองด้วยไฟฟ้า (ECT) การกระตุ้นด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า (TMS) หรือบำบัดด้วยสารไซคีเดลิก

การบำบัดรักษาทางจิตใจก็สำคัญมาก โดยเฉพาะเมื่อผสมผสานกับยา ได้ผลดีสำหรับคนจำนวนมาก วิธีที่มีหลักฐานรองรับ เช่น CBT, DBT, การบำบัดครอบครัว (FFT), การบำบัดจังหวะอารมณ์และความสัมพันธ์ และกลุ่มสนับสนุน จุดแข็งของกลุ่มบำบัดคือได้แบ่งปันประสบการณ์ รับฟัง ขอกำลังใจจากเพื่อนในกลุ่ม ถือเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้รับมืออารมณ์ได้ดีขึ้น

แนวทางจัดการกับโรคไบโพลาร์เชิงรุก

  • ระบุสิ่งกระตุ้นอาการ mania หรือ depression ของตัวเอง ซึ่งแต่ละคนจะต่างกัน แต่อาจได้แก่ ความเครียด การทะเลาะ หรืออดนอน
  • จดบันทึกอารมณ์ไว้สม่ำเสมอ เพื่อสังเกตการเปลี่ยนแปลง สามารถตั้งแจ้งเตือนมือถือทุก 2 ชม. เพื่อบันทึกอารมณ์และสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แม้ดูง่ายแต่ต้องใช้วินัย การบันทึกต่อเนื่องจะช่วยให้มองเห็นรูปแบบอารมณ์และจัดการได้ดีขึ้น
  • สร้างกิจวัตรประจำวัน เช่น ตื่นนอน นอนหลับ กินอาหาร ให้มีระเบียบ เพื่อเป็นจุดยึดหลักและลดการแปรปรวนของอารมณ์เมื่อปัจจัยเสี่ยงเกิดขึ้น
  • มีกิจกรรมเบาสมองที่ชอบเตรียมไว้ เมื่อรู้สึกซึมเศร้าจะได้หันไปใช้ ตัวอย่างเช่น พาสุนัขไปเดินเล่นที่สวน ไปห้องสมุด ปลูกต้นไม้ นัดเพื่อนที่เข้าใจไปเดินรับลม ฯลฯ เพื่อเคลื่อนไหวมากขึ้น
  • ใช้แว่นกรองแสงสีฟ้าหรืออยู่ในที่มืดตั้งแต่ 18.00-8.00 น. ช่วยให้นาฬิการ่างกายทำงานดีขึ้น โดยเฉพาะก่อน/ระหว่าง mania
  • เรียนรู้ลักษณะ prodrome หรือสัญญาณเตือนว่ากำลังจะกำเริบ แสดงออกที่บ่อยสุดคืออารมณ์ดีเกินเหตุ นอนน้อย และพลังงานมากเกินไป ซึ่งอาการเหล่านี้อาจก่อรูปเป็นสัปดาห์หรือเดือนก่อนเกิด mania/hypomania มิตรหรือบำบัดสามารถช่วยสังเกตและลดความรุนแรงของอาการได้
  • พูดคุยกับนักบำบัดเพื่อหาวิธีหลีกเลี่ยงหรือบรรเทาผลกระทบจากปัจจัยเสี่ยง

แนวทางปรับไลฟ์สไตล์

การรับประทานอาหารดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ลดความเครียด และรักษาสุขอนามัยการนอนเป็นประจำ ล้วนมีประโยชน์ต่อทุกคน โดยเฉพาะผู้มีปัญหาสุขภาพ

อาหารแบบเมดิเตอร์เรเนียนดีต่อผู้มี BD มาก อาหารที่มีไฟโตเคมิคัลและไบโอฟลาโวนอยด์ช่วยบำรุงสมอง เสริมด้วยโอเมก้า-3 เคอร์คูมิน แมกนีเซียม (เพิ่มโดปามีน) หรือ L-tryptophan/5-HTP (เพิ่มเซโรโทนิน)

การดื่มเหล้า หรือ ใช้สารเสพติด อาจช่วยให้รู้สึกดีขึ้นชั่วคราวเพราะกลบความรู้สึกแรง ๆ แต่ระยะยาวจะยิ่งแย่ ลดหรืองดเหล่านี้ จะช่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น

เป้าหมายขั้นต่ำคือออกกำลังกายปานกลาง 150 นาทีต่อสัปดาห์ (เช่น เดินเร็ววันละ 20 นาที) ทำให้ผ่านช่วงอารมณ์ต่ำได้ดีขึ้น ถ้าดีขึ้นแล้วค่อยเพิ่มกิจกรรมก็ได้

สรุปท้ายบทความ

หากคุณหรือคนใกล้ตัวได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคไบโพลาร์ หรือสงสัยว่าตัวเองเป็น อย่าท้อแท้ คุณไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีหนทางช่วยเหลือและปรับสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้ ขั้นแรกลองหาคนปลอดภัยสักคนพูดคุยความรู้สึกของตนเอง แล้วค่อยเดินหน้าต่อไป

ดาวน์โหลด WomanLog ได้เลย:

ดาวน์โหลดบน App Store

ดาวน์โหลดบน Google Play

แชร์บทความนี้:
https://www.mind.org.uk/information-support/types-of-mental-health-problems/bipolar-disorder/treatment-for-bipolar/
https://www.healthline.com/health/bipolar-disorder/bipolar-psychosis
https://www.nimh.nih.gov/health/statistics/bipolar-disorder
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC6116765/
https://www.dbsalliance.org/education/bipolar-disorder/bipolar-disorder-statistics/
https://hubermanlab.com/the-science-and-treatment-of-bipolar-disorder/
https://www.psycom.net/bipolar-definition-dsm-5
https://www.youtube.com/watch?v=awPP5YrVGyY
https://www.talkspace.com/mental-health/conditions/bipolar-disorder/therapy-treatment-types/
https://www.healthline.com/nutrition/dopamine-supplements#TOC_TITLE_HDR_11
https://www.psycom.net/bipolar-disorder
Advertisement


ภาวะไทรอยด์ต่ำเป็นโรคต่อมไทรอยด์ที่พบบ่อยและส่งผลกระทบต่อคนนับล้านทั่วโลก อาการอย่างเช่น น้ำหนักลดยาก ผมร่วง ผิวหมองสมองล้า และอีกหลายอย่างอาจทำให้ใช้ชีวิตประจำวันลำบาก อย่างไรก็ตาม ยังมีวิธีดูแลภาวะนี้เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น ในบทความนี้ คุณจะได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับภาวะไทรอยด์ต่ำ ทั้งสาเหตุและอาการต่างๆ
บวมน้ำ หรือการบวมของเนื้อเยื่อ เป็นปฏิกิริยาปกติต่อการอักเสบและบาดเจ็บ อาการบวมช่วยปกป้องบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บและส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ หากสาเหตุของอาการบวมชัดเจน เช่น ข้อเท้าหัก หรือถูกแมลงกัดต่อย และไม่มีอาการรุนแรงอื่นร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการจะหายเองในไม่กี่วัน
ความเจ็บปวดเป็นประสบการณ์สากลของมนุษย์ แต่ก็เป็นสิ่งที่เฉพาะบุคคลสูง การประเมินสาเหตุที่แท้จริงของความเจ็บปวดนั้นอาจเป็นเรื่องยาก แต่เสมอไป ความเจ็บปวดคือสัญญาณว่ามีบางสิ่งที่อาจเป็นอันตรายเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณ