ใหม่! เข้าสู่ระบบเพื่อจัดการบัญชีของคุณ ดูบันทึก ดาวน์โหลดรายงาน (PDF/CSV) และดูข้อมูลสำรองของคุณ เข้าสู่ระบบที่นี่!
แชร์บทความนี้:

ข้อมูลสุขภาพที่บิดเบือนซึ่งมุ่งเป้าไปที่ผู้หญิง

มีเนื้อหาออนไลน์จำนวนมากที่มุ่งเป้าไปยังผู้หญิง และส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพและความเป็นอยู่ของพวกเรา แม้ว่าเราจะก้าวข้ามเทรนด์ไดเอทและการออกเดตที่เป็นพิษในยุค 2000 ต้น ๆ ไปแล้ว แต่น่าเศร้าที่ข้อมูลผิด ๆ ในเรื่อง “ผู้หญิง” ก็ยังคงแพร่หลายและมาในหลากหลายรูปแบบ บทความนี้จะช่วยให้คุณรู้จักวิธีสังเกตข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อที่คุณจะได้หลีกเลี่ยงได้

ไกด์ภาพเพื่อการนำทางในข้อมูลสุขภาพที่บิดเบือนสำหรับผู้หญิง - เสริมพลังผู้หญิงให้รู้ทันและเลี่ยงข้อมูลสุขภาพที่ไม่น่าเชื่อถือในโลกออนไลน์

ในยุคดิจิทัล เราสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่ไม่ใช่ข้อมูลทุกอย่างจะน่าเชื่อถือ ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ครีเอเตอร์คอนเทนต์บางคนมักนำเสนอข้อมูลที่ผิดพลาด และหลายประเด็นที่เกี่ยวกับผู้หญิงโดยเฉพาะก็เป็นเรื่องง่ายมากที่จะบิดเบือนให้กลายเป็นข้อเท็จจริง

“ฉันอ่านในอินเทอร์เน็ตมา—มันต้องเป็นเรื่องจริงแน่” วลีประชดประชันนี้เตือนให้เราระวังถึงภัยของการแชร์ข้อมูลในยุคสมัยใหม่ ตั้งแต่การหลอกลวงด้วยโปรไฟล์ปลอมไปจนถึงโฆษณาต้มตุ๋น การหลอกลวงออนไลน์ยังคงพบได้ทั่วไป แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอินเทอร์เน็ตช่วยให้เราได้ประโยชน์มากมาย และหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ผู้คน (และผู้หญิงโดยเฉพาะ) หันมาพึ่งอินเทอร์เน็ตก็คือ “ข้อมูลสุขภาพ”

ผลการศึกษาพบว่า ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ประชาชนมากกว่าครึ่งหนึ่งค้นหาข้อมูลสุขภาพออนไลน์ และ “ผู้หญิง” มีแนวโน้มจะหาข้อมูลมากกว่าผู้ชาย

การทำงานแบบหลายมิติของโซเชียลมีเดีย รวมถึงโฆษณาและคอนเทนต์ที่เจาะกลุ่มเป้าหมาย ทำให้เราเจอข้อความเกี่ยวกับสุขภาพออนไลน์เป็นประจำ แม้จะไม่ได้ตั้งใจค้นหาก็ตาม

เพียงเลื่อนฟีดดูไปเรื่อย ๆ คุณจะพบคำแนะนำเกี่ยวกับการออกกำลังกาย การควบคุมอาหาร และไลฟ์สไตล์แบบต่าง ๆ แพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram ก็มีบทบาทสำคัญในการนำเสนอเนื้อหาที่ดูสวยงามและปรับแต่งตามความสนใจของคุณโดยเฉพาะ

แต่อย่าลืม—สุขภาพของเราขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราโดยตรง ขณะที่คอนเทนต์ครีเอเตอร์ก็เป็นเพียงคนธรรมดาที่อาจพลาดได้ หรือกระทั่งโกหกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

“เรื่องของผู้หญิง”

ผู้หญิงอาจสนใจประเด็นสุขภาพด้วยเหตุผลต่าง ๆ มากมาย แต่เนื่องจากภาระงานในบ้านมักตกเป็นของผู้หญิง เรามักต้องรับผิดชอบไม่เพียงแต่สุขภาพและรูปลักษณ์ของตัวเองเท่านั้น แต่ยังดูแลสุขภาพของลูก คู่ชีวิต และญาติผู้ใหญ่ในบ้าน ด้วยเหตุนี้ เรื่องสุขภาพทั่วไป สุขภาพเจริญพันธุ์ เคล็ดลับการออกกำลังกายและโภชนาการ การดูแลลูก และวิธีจัดการงานบ้าน จึงเป็นหัวข้อที่พบได้บ่อยในพื้นที่ข้อมูลที่ผู้หญิงมีบทบาทหลัก

เรารู้ดีว่าคอนเทนต์ที่มุ่งเป้าไปที่ผู้หญิงมีลักษณะอย่างไร มันเป็นมิตร สบาย ๆ และมักออกแบบด้วยสีที่สื่อถึงเพศหญิง การใช้โทนเสียงสบาย ๆ ราวกับคำแนะนำจากพี่สาวหรือเพื่อนสนิทอาจช่วยให้ง่ายต่อการเข้าใจเรื่องซับซ้อนหรือเรื่องน่าเบื่อ แต่ขณะเดียวกันก็อาจซ่อนจุดอ่อนในด้านการตรวจสอบข้อเท็จจริงได้

สายสุขภาพและความเป็นอยู่หรือ Wellness เป็นโลกกว้าง มีผู้มีอิทธิพลนับล้านทั่วโลกอยู่ในกลุ่ม “ไลฟ์สไตล์” ที่นำเสนอข้อมูลด้านสุขภาพอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวงการนี้ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง

ผู้ชายเองก็เจอข้อมูลผิด ๆ หรืออันตรายในประเด็นที่เขาสนใจ โดยเฉพาะในเรื่องกีฬาหรือการสร้างกล้ามเนื้อ แต่ก็มีลักษณะเฉพาะที่ข้อมูลผิด ๆ มักถูกนำเสนอให้กับผู้หญิง นั่นคือประเด็นที่เราจะพูดถึงในบทความนี้

แม้ว่าจุดประสงค์ของการโฆษณาคือช่วยให้ผู้คนพบสินค้าที่ตรงใจ แต่สำหรับบริษัทแล้ว การแบ่งตลาดระหว่าง “ผู้ชาย” กับ “ผู้หญิง” คือขุมทรัพย์ คุณสามารถขายของแบบเดียวกันให้สองกลุ่มแยกกัน โดยเปลี่ยนเป็นสีชมพูหรือทำให้เล็กลงสำหรับผู้หญิง และขายในราคาที่สูงกว่าได้อีกด้วย

ทั้งนี้ เราก็รู้ดีว่าสังคมมีการกำหนดหัวข้อบางอย่างให้เป็น “เรื่องของผู้หญิง” มาตลอด พื้นที่ข้อมูลและความบันเทิงออนไลน์ก็เป็นการสืบทอดแนวคิดนี้ ซึ่งทั้งให้อำนาจและจำกัดผู้หญิงในเวลาเดียวกัน

พื้นที่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิง

ไม่เคยมีช่วงไหนที่ผู้หญิงสามารถแสดงตนได้อย่างอิสระเท่าทุกวันนี้ หลายคนใช้ออนไลน์แพลตฟอร์ม เช่น TikTok, Instagram, YouTube หรือบล็อกและชุมชนออนไลน์มากมาย เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” ในการแชร์ข้อมูลและความคิดเกี่ยวกับชีวิตประจำวันและความกังวลใจ—หัวข้อที่ในอดีตถูกซ่อนเร้นไม่มีใครพูดถึง

แม้ว่าความคิดเห็นในทางลบยังปรากฏให้เห็นบ่อย ๆ เวลามีโพสต์เกี่ยวกับประจำเดือน การเลี้ยงลูก หรือการดูแลความงาม แต่หัวข้อที่เกี่ยวข้องกับเพศหญิงโดยตรงก็กำลังได้รับความสนใจที่สมควรได้รับ

อย่างไรก็ตาม ประเด็นสุขภาพของผู้หญิงหลายอย่างยังเข้าใจได้ไม่เต็มที่ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา การศึกษาทางการแพทย์มักใช้แต่อาสาสมัครชาย เพราะรอบเดือนถูกมองว่าเป็นตัวแปรเกินจำเป็นต่อการศึกษาการทำงานของอวัยวะหรือโรคต่าง ๆ ส่งผลให้ผู้หญิงขาดข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับร่างกายและสุขภาพของตนเอง ตัวอย่างเช่น เรายังต้องศึกษาเกี่ยวกับโครงสร้างของคลิตอริสในศตวรรษที่ 21 อารมณ์ของผู้หญิงก็ยังถูกละเลย ขณะที่ PMS และวัยทองยังคงเข้าใจผิด โดนเยาะเย้ย และกลัวกันอยู่

เมื่อเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของเหล่าบล็อกเกอร์ไลฟ์สไตล์ที่มักนำเสนอคำแนะนำที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ผู้หญิงก็ต้องตัดสินใจเอง


ข้อมูลผิด ๆ บางอย่างอาจเกิดขึ้นโดยไม่มีเจตนา—แต่นั่นก็คือปัญหา

ไกด์ภาพ ข้อมูลเท็จ VS ข้อมูลบิดเบือน – แยกความต่างของการเผยแพร่ข้อมูลผิดโดยไม่ตั้งใจกับการบิดเบือนโดยมีเจตนา ส่งเสริมทักษะรู้เท่าทันสื่อ


ข้อมูลผิด (Misinformation) กับข้อมูลบิดเบือน (Disinformation)

ทั้งสองคำนี้ต่างหมายถึง “ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือคลาดเคลื่อน” แต่มีข้อแตกต่างสำคัญ

ข้อมูลบิดเบือน (Disinformation) หมายถึงข้อมูลเท็จที่นำเสนอโดยมีเจตนาหลอกลวง ผู้เผยแพร่ รู้ตัว ว่าสิ่งที่พูดไม่ถูกต้องหรือบางส่วนผิด แต่ก็ยังเลือกนำเสนอให้ดูเหมือนจริง ข้อมูลแบบนี้มักกระจายเพื่อเป้าหมายเฉพาะ เช่น ขายของ ส่งเสริมวาระบางอย่าง ยกระดับความน่าเชื่อถือ หรือทำลายคู่แข่ง

ตัวอย่างเช่น คำว่า halitosis หรือ “ปากเหม็น” ถูกประโคมในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อสร้างตลาดให้กับน้ำยาบ้วนปาก โดยการใช้ชื่อวิทยาศาสตร์มาโหมโฆษณาทำให้ขายดีมาก แม้ว่าน้ำยาบ้วนปากจะมีประโยชน์จริงบ้าง แต่กลยุทธ์โฆษณาแบบนี้ก็ยังถูกใช้สร้างกำไรมหาศาลในปัจจุบัน

ทุกวันนี้เรามักได้ยินเรื่องข้อมูลบิดเบือนในข่าวปลอมหรือประเด็นการเมือง แต่ในมุมธุรกิจหรือผู้มีอิทธิพลออนไลน์ แรงจูงใจคือ “กำไร” โดยตรง แม้จะรู้ว่าสิ่งที่โปรโมตไม่ค่อยดีนักก็ยังพูดต่อ

ข้อมูลผิด (Misinformation) คือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องหรือไม่สมบูรณ์ที่ถูกเผยแพร่โดยไม่มีเจตนาร้ายหรือหวังหลอกลวง ผู้เผยแพร่อาจต้องการ “ให้เป็นกระแส” ด้วยข้อมูลใหม่หรือชวนตกใจแต่ไม่ได้จงใจโกหก อาจมาจากความขี้เกียจ มองข้าม หรือขาดความรู้

เช่น รูทีนไดเอทหรือออกกำลังกายสุดโต่งจากอินฟลูเอนเซอร์ผู้ใจใหญ่แต่ประสบการณ์ไม่ถึง ถือเป็นข้อมูลผิด—ผู้ติดตามจึงต้องรับผิดชอบตรวจสอบข้อเท็จจริงเองถ้าจะทำตามคำแนะนำเหล่านี้

ความสามารถในการแชร์ชนะความถูกต้อง

ความเชื่อโบราณ เรื่องเล่าปากต่อปาก แพร่กระจายบนโซเชียลมีเดียรวดเร็วมาก ถ้ามีคนบอกว่าเจอสูตรเด็ดรักษา PMS สิว หรือหวัด ธรรมดา คนก็มักแชร์ต่อ วัยรุ่นหลายคนยังค้นพบ “วิธีเก่า” ที่ถูกลบล้างไปนานแล้วโดยไม่รู้แก่นจริง และเป็นเหตุให้เรื่องเหล่านี้กลับมาได้รับความนิยมออนไลน์อีกครั้ง

Advertisement


เนื้อหาส่วนใหญ่ในโลกออนไลน์เน้นความนิยมและการแชร์มากกว่าความน่าเชื่อถือ ข้อมูลที่ขัดแย้งหรือสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วไม่จริงก็มักจะถูกยกขึ้นมาใช้ประโยชน์ด้วยเพลงติดหูหรือหัวข้อที่ชวนคลิก การปลุกกระแสอาจสนุกกับเรื่องภูตผีหรือดารา แต่ถ้าเป็นเรื่องสุขภาพ ผลกระทบอาจรุนแรง

ข้อมูลสุขภาพของผู้หญิงมักถ่ายทอดผ่านภูมิปัญญาชาวบ้าน ความเชื่อ หรือสุภาษิตมายาวนาน แม้จะมีทั้งหลักประสบการณ์และสัญชาตญาณ แต่แยกไม่ออกว่าข้อไหนช่วยได้จริง ข้อไหนงมงาย หรือ “เรื่องเล่าของป้า” ข้อมูลแบบนี้ควร “ฟังหูไว้หู” โดยเฉพาะเมื่อจะวินิจฉัยตนเองหรือหายามากินเอง

ขาดการค้นคว้าและแหล่งอ้างอิงที่ตรวจสอบได้

อินฟลูเอนเซอร์จำนวนมากสร้างแบรนด์ด้วยการให้คำแนะนำเกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่การดูแลผิวจนถึงซ่อมแซมบ้านหรือสูตรอาหาร แต่อาจไม่ได้แนบหลักฐาน หรืองานวิจัยรองรับคำแนะนำเหล่านั้นด้วย

เราตรวจสอบและให้แหล่งข้อมูลท้ายบทความ WomanLog ทุกชิ้น เพื่อผู้อ่านได้ค้นคว้าต่อเอง ถ้าอินฟลูเอนเซอร์ที่คุณชื่นชอบให้คำแนะนำเรื่องสุขภาพ ตรวจสอบว่ามีแหล่งอ้างอิงหรือไม่ หากไม่มี ลองค้นหาไอเดียหลักในอินเทอร์เน็ตและเช็คความน่าเชื่อถือต่อก่อนเชื่อหรือซื้อตาม

คุณภาพของแหล่งข้อมูลสำคัญอย่างมาก การตัดสินใจสุขภาพจากคำพูดคนแปลกหน้าทางออนไลน์ก็อันตรายไม่ต่างกับไปถามเพื่อนบ้านประหลาด คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเขารู้จริง? หรือมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง?

เมื่อสุขภาพเป็นประเด็นหลัก เราต้องได้ข้อมูลที่ดีที่สุด ซึ่งมักจะได้จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น หมอ โรงพยาบาล หรือสถาบันวิจัย และควรหาหลายแหล่งเพื่อดูว่ามีข้อมูลแย้งหรือไม่ เพราะสุดท้ายเราต้องรับผิดชอบผลของการตัดสินใจด้านสุขภาพเอง

แหล่งข้อมูลทางเลือกก็อาจให้ความรู้ที่มีประโยชน์บ้าง แต่ถ้าเน้น “พลังสั่นสะเทือน”, “คริสตัล”, ราศี หรือแนวคิดเหนือธรรมชาติอื่น ๆ โปรดพิจารณาก่อนเชื่อตาม

ตรรกะลวงตาและอคติทางความคิด

ทุกคนล้วนผิดพลาดได้ ความผิดพลาดบางประเภทเกิดจากข้อบกพร่องในกระบวนการคิดที่เรียกว่า “ตรรกะลวงตา” ตัวอย่างที่พบบ่อย เช่น

เลือกเฉพาะข้อมูล (Cherry picking)—เวลามีคนหยิบเฉพาะข้อเท็จจริงที่สนับสนุนตนเองและละเลยข้อมูลอื่น ๆ คุณจะหลีกเลี่ยงได้อย่างไรเมื่อเจอข้อมูลมากมาย? ที่สำคัญคือ “คุณภาพ” ของแหล่งข้อมูล เช่น อินฟลูเอนเซอร์สองคนบอกว่าชาสูตรหนึ่งช่วยลดปวดประจำเดือน แต่เว็บการแพทย์ยืนยันกลับกัน การเลือกเชื่อนักอินฟลูเอนเซอร์อาจเป็นการเลือกเฉพาะข้อมูลที่เข้ากับความเชื่อเราโดยตรง

ตรรกะเหตุ–ผลลวง (Causal fallacy)—การอ้างว่าเพราะเหตุการณ์หนึ่งเกิดหลังอีกเหตุการณ์หนึ่ง จึงเป็นสาเหตุกัน เช่น ถ้าใครสักคนใช้วิธีหรือสินค้าประเภทหนึ่งแล้วปัญหาหายไป ก็ไม่ได้แปลว่าวิธีนั้นจะช่วยแก้ไขอย่างถาวร อาจบังเอิญเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือมาจากร่างกายของแต่ละคนก็ได้

สำหรับผลิตภัณฑ์หรือวิธีรักษาหนึ่ง ๆ จะต้องผ่านการทดสอบเชิงวิทยาศาสตร์โดยศูนย์วิจัยหรือแพทย์เท่านั้นถึงจะปลอดภัย


ควรระมัดระวังเป็นพิเศษหากคำแนะนำเกี่ยวข้องกับการใช้สารแปลก ๆ หรือการจัดร่างกายที่เสี่ยงซึ่งอาจส่งผลถาวร โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพเด็ก

การเสพสื่ออย่างหนักต่อมีม ภาพหรือหัวข้อชวนกดติดตาม ทำให้ทักษะ คิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ ลดลง ง่ายต่อการปล่อยให้ตรรกะลวงตาแทรกซึมและทำให้อคติหรือทางลัดในความจำแข็งแรงขึ้น

อคติเชิงยืนยัน (Confirmation bias) คือธรรมชาติที่เราชอบหาและจำแต่ข้อมูลที่ตรงกับความเชื่อเดิม ส่วน Availability heuristic คือเราจะรู้สึกว่าข้อมูลที่นึกออกได้ง่ายคือเรื่องจริงหรือสำคัญ

เมื่อเราเห็น “ข้อเท็จจริง” เดิม ๆ ซ้ำ ๆ ในไวรัลโพสต์หรือวิดีโอ มีแนวโน้มจะเชื่อง่ายแม้จะรู้ว่าข้อมูล ภาพหน้าจอ หรือรูปภาพปลอมกันได้ไม่ยากในยุคนี้

งานวิจัยเกี่ยวกับข้อมูลออนไลน์เพิ่งเริ่มต้นแต่ก็เผยปัญหาที่น่ากังวลแล้ว เช่น ศึกษา TikTok ที่พูดถึงโรคระบบทางเดินปัสสาวะ (ไต, ปัสสาวะรดที่นอนเด็ก, ติดเชื้อ ฯลฯ) พบว่า มีเพียง 22% เท่านั้นที่ยืนยันได้จากแหล่งข้อมูลสมาคมระบบปัสสาวะยุโรป และไม่มีวิดีโอใดอ้างอิงข้อมูลเลย

ผู้สร้างเนื้อหากับความกดดันจากความคาดหวัง

ความใกล้ชิดส่วนตัวของอินฟลูเอนเซอร์ดึงดูดใจมาก ในโลกออนไลน์ที่แข่งขันกันสูง ผู้มีอิทธิพลถูกคาดหวังให้แชร์เรื่องราวส่วนตัวและประสบการณ์ “จริง” อยู่เสมอ ความกดดันที่ต้องดูเป็นคน “จริงใจ” จึงนำไปสู่การนำเสนอสารพัดวิธีสร้างรูทีนยามค่ำคืน มาส์กหน้า DIY หรือสุดยอดแป้งเด็กในแบบต่าง ๆ

อินฟลูเอนเซอร์บางคนก็กลัวเสียหน้าเวลาต้องยอมรับว่าคำแนะนำก่อนหน้านั้นผิด โดยเฉพาะถ้าเนื้อหาเหล่านั้นคือหัวใจหลักของแบรนด์

อัลกอริทึม อัลกอริทึมของโซเชียลและแพลตฟอร์มข่าวล้ำหน้าขึ้นทุกวัน ถูกใช้จัดการข้อมูลรสนิยมของคุณและแนะนำโปรโมตสินค้า การเมืองที่คุณมีแนวโน้มอยากดู แม้จะช่วยให้เจอเพลงหรือเสื้อผ้าที่ชอบเร็วขึ้น แต่ก็สร้างฟองกรองข้อมูล หรือ echo chamber ที่บิดเบือนความเป็นจริงของเรา

แม้รัฐบาลหรือองค์กรกำกับดูแลจะพยายามบีบบังคับแพลตฟอร์มให้โปร่งใสเรื่องอัลกอริทึมหรือรับผิดชอบเนื้อหา แต่จำนวนอินฟลูเอนเซอร์ออนไลน์มีมากมายจนควบคุมได้ไม่หมด และโพสต์ที่มีประเด็นดราม่ามักถูกโปรโมตเพราะเรียกความสนใจได้ดี

คำแนะนำสุขภาพที่ไร้หลักวิทยาศาสตร์บางทีแฝงตัวในที่สาธารณะ แต่ก็มีอีกมากที่รวมอยู่ในคอมมูนิตี้ลับซึ่งเจอได้ด้วยแฮชแท็กหรืออินฟลูเอนเซอร์เฉพาะ Pro-anorexia หรือกลุ่มสร้างคอนเทนต์ชวนระอดอาหารยังระบาดใน Tumblr และ TikTok แม้จะใช้โค้ดลับในการโพสต์ นอกจากนี้ยังมีกลุ่ม fringe และทฤษฎีสมคบคิดประเภทอื่น ๆ อีกมากมาย

จะหลีกเลี่ยงข้อมูลผิด ๆ ได้อย่างไร?

โลกออนไลน์นั้นแสนโกลาหลและหลีกเลี่ยงข้อมูลผิดร้อยเปอร์เซ็นต์แทบเป็นไปไม่ได้ แต่เราทำได้คืออย่าหละหลวม อย่าเชื่อคำแนะนำง่าย ๆ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับสุขภาพของคุณเอง ไม่มีเหตุผลต้องหวาดระแวง แต่ควรมี “ความสงสัยเชิงสุขภาพ” ในใจเสมอ

ลองตั้งคำถามเหล่านี้ทุกครั้งเมื่อท่องโซเชียล:

  • ข้อมูลนี้เชื่อถือได้ไหม? มีแหล่งอ้างอิงอะไรบ้าง?
  • ถ้าทำตามคำแนะนำนี้แล้วจะเกิดผลเสียหรือเปล่า?
  • มีใครอีกที่แชร์ข้อมูลนี้บ้าง?
  • ข้อมูลนี้ตรงกับข้อเท็จจริงทางสุขภาพที่ยอมรับกันทั่วไปหรือไม่ ถ้าไม่ ทำไมถึงแตกต่าง?
  • อินฟลูเอนเซอร์หรือเว็บไซต์จะได้อะไรถ้าเราทำตาม?
  • มีประเด็นอื้อฉาวเกี่ยวกับผู้แชร์ข้อมูลหรือกับตัวข้อมูลเองหรือเปล่า?
  • ข้อมูลนี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบาง เช่น วัยรุ่น ผู้หญิงมีครรภ์ ผู้กำลังฟื้นฟูร่างกายจากโรค/เสพติดหรือไม่?

หากคุณเลือกทำตามรูทีนสุขภาพ ออกกำลังกายหรือโภชนาการที่แชร์ในออนไลน์ ควรศึกษาข้อมูลและปรึกษาแพทย์ หรือหยุดทันทีที่สัมผัสผลข้างเคียงที่เสียหาย

ดาวน์โหลด WomanLog ได้แล้ววันนี้:

ดาวน์โหลดบน App Store

ดาวน์โหลดบน Google Play

แชร์บทความนี้:
https://journals.sagepub.com/doi/10.1177/0033354919874074
https://ec.europa.eu/eurostat/web/products-eurostat-news/-/edn-20210406-1
https://plan-international.org/publications/the-truth-gap/
https://www.businessinsider.com/guides/tech/misinformation-vs-disinformation
https://www.sciencedirect.com/science/article/pii/S0033350620305242
https://www.theatlantic.com/family/archive/2018/08/womens-health-care-gaslighting/567149/
https://www.codastory.com/disinformation/girls-health-misinformation/
https://www.sciencedirect.com/science/article/abs/pii/S1477513122000961
https://www.northwell.edu/katz-institute-for-womens-health/articles/finding-your-way-sea-online-health-misinformation
https://www.hhs.gov/surgeongeneral/priorities/health-misinformation/index.html
https://www.winchesterhospital.org/health-library/article?id=14705
https://www.kff.org/coronavirus-covid-19/press-release/misinformation-about-covid-19-vaccines-and-pregnancy-is-widespread-including-among-women-who-are-pregnant-or-planning-to-get-pregnant/
https://www.aamc.org/news-insights/confronting-medical-misinformation-tips-trenches
https://www.pnas.org/doi/10.1073/pnas.1912437117
https://womenspublicpolicynetwork.org/blog/how-medical-misinformation-on-fertility-and-reproductive-health-is-hurting-women-and-how-to-support-women/
https://www.rand.org/blog/2022/07/combating-abortion-misinformation-in-the-post-roe-environment.html
Advertisement


Tinnitus ir nevēlams ielauzējs, kas var izjaukt tavu dienu ar nemitīgu, augsti skanošu zvanīšanu ausīs. Tas nav tikai kaitinoši; šīs fantoma skaņas var traucēt koncentrēšanos, miega ritmu un vispārējo dzīves kvalitāti.
Mutes dobuma veselība ir būtiska, taču bieži vien ignorēta mūsu kopējās labsajūtas sastāvdaļa. Daudzas no mums pie zobārsta vēršas tikai sāpju gadījumā, bet bruksisms ilgtermiņā nemanāmi bojā zobus. Šajā rakstā uzzināsi, kā pasargāt sevi no zobu griešanas kaitīgajām sekām.
Āda reaģē uz visu, kas notiek apkārtējā vidē. Klimats un uzturs ir tikai divi no daudziem faktoriem, kas ietekmē ādas struktūru un veselību. Sausa āda ir bieži sastopama reakcija uz dažādām ietekmēm, un to parasti var vienkārši novērst.