ใหม่! เข้าสู่ระบบเพื่อจัดการบัญชีของคุณ ดูบันทึก ดาวน์โหลดรายงาน (PDF/CSV) และดูข้อมูลสำรองของคุณ เข้าสู่ระบบที่นี่!
แชร์บทความนี้:

บวมน้ำ: อาการบวมในร่างกายของฉัน

บวมน้ำ หรือการบวมของเนื้อเยื่อ เป็นปฏิกิริยาปกติต่อการอักเสบและบาดเจ็บ อาการบวมช่วยปกป้องบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บและส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ หากสาเหตุของอาการบวมชัดเจน เช่น ข้อเท้าหัก หรือถูกแมลงกัดต่อย และไม่มีอาการรุนแรงอื่นร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการจะหายเองในไม่กี่วัน

แผนภาพแนะนำบวมน้ำ: อาการบวมในร่างกายของฉัน พร้อมข้อมูลสาเหตุ อาการ และการจัดการอาการบวมของเนื้อเยื่อ

ข้อเท้าของคุณบวม หรือหน้าบวมไหม? อาการบวมน้ำอาจเกิดจากเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ผิวไหม้แดด การรับประทานเกลือมากเกินไป ยืนนานเกินไป รวมถึงการตั้งครรภ์ นอกจากนี้ยังเป็นผลข้างเคียงที่พบบ่อยของยาบางชนิด เช่น ยาสเตียรอยด์ หากบวมน้ำเป็นเวลานานหรือเป็นเรื้อรัง อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่รุนแรงกว่า

บวมน้ำ หรือที่เรียกว่าการกักเก็บของเหลว หรือ ไฮดรอปซี่ คือการบวมที่เกิดจากมีของเหลวส่วนเกินสะสมในเนื้อเยื่อ แล้วของเหลวเหล่านี้มาจากไหน?

ของเหลวไหลเวียนทั่วร่างกายในรูป พลาสมา ซึ่งล้อมรอบเซลล์เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดในหลอดเลือดของเรา โดยเคลื่อนที่ผ่านรูขนาดเล็กในเส้นเลือดฝอยในรูปของ น้ำเหลืองระหว่างเซลล์ ที่ทำหน้าที่ลำเลียงแก๊ส สารอาหาร และอิเล็กโทรไลต์ ระหว่างช่องว่างของเซลล์ และกลับเข้าสู่กระแสเลือดทางเส้นน้ำเหลืองในรูป น้ำเหลือง

พลาสมา น้ำเหลืองระหว่างเซลล์ และน้ำเหลืองต่างก็จัดเป็นของเหลวนอกเซลล์—น้ำที่มีน้ำตาล เกลือ กรดไขมัน กรดอะมิโน โคเอนไซม์ ฮอร์โมน สารสื่อประสาท เม็ดเลือดขาว และของเสียของเซลล์ละลายอยู่ สารประกอบเหล่านี้จะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งในระบบไหลเวียนโลหิต

ขณะที่หัวใจสูบฉีดเลือด จะสร้างความดันให้กับระบบไหลเวียนโลหิต ทุกครั้งที่เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบหรือบาดเจ็บ ของเหลวสามารถรั่วไหลเข้าสู่เนื้อเยื่อโดยรอบและทำให้เกิดอาการบวม นอกจากนี้ การรั่วซึมของของเหลวอาจมากขึ้นหากเยื่อบุหลอดเลือดได้รับผลกระทบจากฮอร์โมนหรือยา ทำให้เยื่อบุมีความสามารถในการซึมผ่านมากขึ้น

อาการสำคัญของบวมน้ำ

อาการสำคัญได้แก่:

  • รูปร่างหรือการเปลี่ยนแปลงของอวัยวะ—บริเวณที่ได้รับผลกระทูบวม หรือมีขนาดใหญ่กว่าปกติ
  • ผิวหนังตึง เงางาม ดูมัน
  • รู้สึกคันหรืออุ่นที่บริเวณนั้น
  • รู้สึกหนักหรือไม่สบายตัว
  • ข้อติด หรือเคลื่อนไหวได้ลดลง
  • การไหลเวียนโลหิตลดลง

บวมน้ำอันเนื่องมาจากการอักเสบเฉียบพลันหรือจากการกระแทก อาจมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ สับสน ตึง หรืออาการอื่นร่วมด้วยได้

สาเหตุของอาการบวมน้ำ

บวมน้ำสามารถเกิดได้จากหลายสภาวะ บางอย่างเล็กน้อยและชั่วคราว ขณะที่บางอย่างอาจเรื้อรังหรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง สาเหตุที่พบได้บ่อย ได้แก่:

  • บาดเจ็บทางร่างกาย
  • นั่งหรือยืนนาน ๆ ในท่าเดียว
  • แพ้อาหาร หรือถูกแมลงต่อย
  • ผิวไหม้แดดหรือทำกิจกรรมกลางแจ้งท่ามกลางอากาศร้อน
  • โภชนาการไม่ดี โดยเฉพาะการรับประทานเกลือมากเกินไป หรือขาดวิตามินกลุ่มบี
  • การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน—ยาคุมกำเนิด การบำบัดด้วยฮอร์โมน วงจรประจำเดือน (โดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน)
  • การตั้งครรภ์
  • วัยหมดประจำเดือน
  • อายุที่มากขึ้น
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ


เอสโตรเจน มีบทบาทต่อสมดุลของของเหลวในร่างกาย ระดับเอสโตรเจนหรือเอสตราไดออลที่สูงขึ้น สามารถทำให้บางคนกักเก็บน้ำและน้ำหนักขึ้นได้

ในบางกรณี การบวมน้ำบางประเภทอาจเป็นสัญญาณของโรคที่ร้ายแรง เช่น โรคไต โรคปอด โรคตับแข็ง เส้นเลือดขอด โรคต่อมไทรอยด์ หัวใจวาย หรือเบาหวาน

แผนภาพแนะนำประเภทของบวมน้ำ แสดงรูปแบบและลักษณะต่าง ๆ เพื่อความเข้าใจง่ายขึ้น


ประเภทของอาการบวมน้ำ

รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดคือบวมใต้ผิวหนัง พบมากบริเวณขาและเท้า แขนและมือ หรือใบหน้า โดยเฉพาะเมื่อเส้นเลือดฝอยมีแรงดันหรือเกิดความเสียหาย

บวมน้ำที่ปลายแขนขา (Peripheral edema)

บวมน้ำที่ปลายแขนขา หรืออาการบวมที่ขา แขน พบได้บ่อยหลังจากยืนหรือนั่งท่าเดียวเป็นเวลานาน สวมเสื้อผ้ารัดรูป ผิวไหม้แดด หรือรับประทานอาหารเค็มเกินไป อาการนี้ยังพบได้บ่อยในช่วงตั้งครรภ์และอาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงรอบเดือน

บวมน้ำที่เท้า (Pedal edema)

อาการบวมน้ำที่เท้าจะเรียกว่า Pedal edema ซึ่งพบได้บ่อยมากในหญิงตั้งครรภ์และผู้สูงอายุ

บวมน้ำในปอด (Pulmonary edema)

บวมน้ำในปอด คืออาการที่มีของเหลวสะสมในปอด ซึ่งเป็นสภาวะที่อันตรายเพราะรบกวนการหายใจ อาการได้แก่ หายใจสั้น หายใจลำบากมากขึ้นในเวลากลางคืนหรือเวลานอนราบ หายใจมีเสียงหวีด ไอ หรือมีน้ำหนักขึ้นอย่างรวดเร็ว ควรรีบติดต่อแพทย์หรือฉุกเฉินทันทีหากบวมน้ำในปอดเกิดขึ้นกะทันหัน หรือมีอาการเหงื่อออก หายใจหนัก ไอมีเลือด ใจสั่น วิตกกังวล และรู้สึกเหมือนจะจมน้ำ

บวมน้ำที่จอตา (Macular edema)

Macular edema คืออาการบวมที่ดวงตา โดยเฉพาะบริเวณจุดภาพชัด ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของจอประสาทตาด้านหลังที่ทำหน้าที่รับรู้ภาพและรายละเอียด หากมีของเหลวสะสมที่นี่ จะมองภาพไม่ชัด สีเพี้ยน อาการนี้มักเป็นภาวะแทรกซ้อนของเบาหวาน

บวมน้ำในสมอง (Cerebral edema)

บวมน้ำในสมอง คือการสะสมของของเหลวในสมอง ซึ่งนำไปสู่การทำงานของเซลล์ประสาทผิดปกติ ความดันในกะโหลกศีรษะสูง และการกดเบียดสมอง อาการได้แก่ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ชัก ง่วงนอน มองเห็นผิดปกติ หรือสับสน บวมน้ำในสมองมักเกิดหลังการบาดเจ็บที่สมอง แต่อาจเกิดจากแพ้ ภาวะอากาศสูง ภาวะเนื้องอก ฯลฯ ควรพบแพทย์ทันทีหากได้รับบาดเจ็บศีรษะหรือหัวใจ

เกือบทุกส่วนของร่างกายสามารถบวมได้ รวมถึงบริเวณอวัยวะภายใน แต่อาการนี้พบได้น้อยและมักวินิจฉัยได้ยากหากไม่มีเครื่องมือหรือผู้เชี่ยวชาญ

Advertisement


การแบ่งเกรดของบวมน้ำ

การทดสอบกดบุ๋มอย่างง่ายสามารถช่วยระบุว่ามีของเหลวสะสมในเนื้อเยื่อมากแค่ไหน ให้ใช้นิ้วกดเบา ๆ บริเวณที่บวม 5–15 วินาที แล้วยกนิ้วออก หากมีรอยบุ๋มเหลืออยู่ แสดงว่ามีของเหลวส่วนเกินในเนื้อเยื่อ ความลึกของรอยบุ๋มและเวลาที่ผิวหนังฟื้นกลับเป็นตัวบอกปริมาณของเหลว

เกรดบุ๋ม  ลึก  เวลาฟื้นตัว

1           2 มม.     ทันที

2           4 มม.     น้อยกว่า 15 วินาที

3           6 มม.     15–60 วินาที

4           8 มม.     2–3 นาที


หากผิวหนังยังบุ๋มหลังจากกด แสดงว่าเป็นบวมน้ำ โดยอาการนี้เรียกว่าบวมน้ำชนิดกดบุ๋ม ยิ่งบุ๋มลึกและคืนรูปช้า บวมน้ำจะยิ่งรุนแรง

บวมน้ำรักษาอย่างไร?

ต้องระบุสาเหตุเบื้องหลังของอาการบวมหรือการเก็บของเหลวในร่างกายเสียก่อน เพื่อเลือกวิธีแก้ไขที่เหมาะสม

หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง อาจมีขั้นตอนต่าง ๆ ที่ช่วยให้ฟื้นตัวได้ดีขึ้น ถ้าเกิดจากออกแรงในที่ร้อน หรือกินอาหารเค็มเกินไป อาการบวมมักจะหายเองภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือหลังนอนหลับพักผ่อนเต็มที่

หากมีอาการบวมบ่อยในชีวิต การเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตหรือใช้ยา อาจจำเป็น

การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต

รับประทานอาหารที่สมดุลและอุดมด้วยสารอาหาร รวมผักและผลไม้สด ลดปริมาณเกลือ (โซเดียม) และแอลกอฮอล์ และควรหยุดสูบบุหรี่หากยังสูบอยู่ น้ำจะเดินทางไปตามปริมาณเกลือในร่างกาย หากเกลือคั่งที่ไต ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้สมดุลและขับออกทางปัสสาวะ

การออกกำลังกาย เป็นหัวใจสำคัญของร่างกายแข็งแรงและการไหลเวียนเลือดที่สมดุล ออกกำลังกายแบบเบา ๆ เพื่อลดอาการบวม หลังจากอาการบวมดีขึ้นแล้ว ควรออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคต

ยกขาสูง (หรืออวัยวะที่บวม) เมื่อคุณนั่งหรือนอน เพื่อช่วยให้ของเหลวไหลเวียนดีขึ้น ทำได้โดยวางเท้าบนหมอนหรือเก้าอี้เล็ก ๆ ขณะนั่งทำงาน หรือยกเท้าแนบบนหมอนหรือกับผนังขณะนอน

นวด และ ฝังเข็ม ก็สามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองทั่วร่างกาย หากรู้สึกเจ็บให้หยุดนวดทันที

ถุงเท้ากดทับ หรือปลอกขา ช่วยควบคุมแรงดันภายในร่างกาย ถุงเท้าชนิดนี้เหมาะกับการใส่ประจำวันเพื่อบรรเทาอาการปวดและอาการบวมและช่วยการไหลเวียนของเลือด ปลอกขาก็ช่วยลดอาการบวมที่ขาได้ เหมาะกับนักกีฬาและนักปีนเขาซึ่งเผชิญการออกกำลังกายหนักและแรงกดบรรยากาศเปลี่ยนแปลง หากคุณบวมที่เท้าและข้อเท้าบ่อย มีรองเท้าบวมน้ำประเภทเฉพาะจำหน่าย

การใช้ยา

ยาขับปัสสาวะ ช่วยขับโซเดียมส่วนเกินออกทางปัสสาวะและลดการกักเก็บน้ำ—ในรูปแบบนี้จะขับเกลือและน้ำส่วนเกินออก เหมาะใช้ชั่วคราวเท่านั้น ยากลุ่มนี้ใช้บ่อยกับอาการบวมน้ำจากภาวะหัวใจล้มเหลวและโรคตับ

ถ้าบวมน้ำเกิดจากลิ่มเลือด จะรักษาด้วย ยาต้านการแข็งตัวของเลือด

ยาต้านฮิสตามีน มักช่วยบรรเทาอาการบวมและคันจากภูมิแพ้

สรุป

บวมน้ำเป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติของร่างกายต่อลักษณะความเจ็บป่วยและบาดเจ็บหลากหลายแบบ การรักษาขึ้นอยู่กับการระบุสาเหตุที่แท้จริง การออกกำลังกายสม่ำเสมอ อาหารสมดุล และการยกขาหรือเท้าให้สูง คือวิธีที่ได้ผลกับอาการบวมที่เท้าหรือใบหน้าตามชีวิตประจำวัน

ดาวน์โหลด WomanLog ได้แล้ววันนี้:

ดาวน์โหลดบน App Store

ดาวน์โหลดบน Google Play

แชร์บทความนี้:
https://www.medicalnewstoday.com/articles/159111
https://www.healthline.com/health/edema
https://www.webmd.com/heart-disease/heart-failure/edema-overview
https://www.nhs.uk/conditions/oedema/
https://medlineplus.gov/edema.html
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK279409/
https://www.sciencedirect.com/topics/nursing-and-health-professions/edema
https://link.springer.com/article/10.1007/s11892-019-1188-4
https://www.liebertpub.com/doi/full/10.1089/lrb.2018.0085
https://www.aafp.org/pubs/afp/issues/2005/0601/p2111.html
Advertisement


เสียงดังในหู (Tinnitus) คือแขกที่ไม่พึงประสงค์ซึ่งเข้ามารบกวนวันของคุณด้วยเสียงดังต่อเนื่องแบบสูงแหลมในหู ไม่ใช่แค่ความรำคาญเท่านั้น เสียงหลอกเหล่านี้ยังอาจทำให้คุณสมาธิหลุด นอนไม่หลับ และลดคุณภาพชีวิตโดยรวมอีกด้วย
สุขภาพช่องปากเป็นส่วนสำคัญแต่บ่อยครั้งกลับถูกมองข้าม หลายคนไปหาหมอฟันเฉพาะเมื่อมีอาการปวด แต่ภาวะนอนกัดฟันจะทำลายฟันของคุณอย่างต่อเนื่องและสังเกตได้ยาก บทความนี้จะช่วยให้คุณเรียนรู้วิธีปกป้องตัวเองจากผลเสียของการบดเคี้ยวฟัน
ถึงแม้จะดูน่าตกใจ แต่อาการแบบนี้ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คุณคิด คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตหรือรู้สึกจี้ดๆ ชั่วขณะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุไหม? ความรู้สึกแบบนี้พบได้บ่อยขึ้นในช่วงก่อนหมดประจำเดือน เมื่อระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อลักษณะการทำงานของเส้นประสาทของเรา แต่อาการนี้ก็ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีกหลากหลายด้วย