ใหม่! เข้าสู่ระบบเพื่อจัดการบัญชีของคุณ ดูบันทึก ดาวน์โหลดรายงาน (PDF/CSV) และดูข้อมูลสำรองของคุณ เข้าสู่ระบบที่นี่!
แชร์บทความนี้:

ทำความเข้าใจการตรวจแปปสเมียร์และการทดสอบเชื้อ HPV

การตรวจคัดกรองเชิงป้องกันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการต่อสู้กับโรคที่มีแนวโน้มจะแย่ลงเมื่อเวลาผ่านไป ในบทความนี้เราจะพาผู้อ่านมารู้จักวิธีป้องกันและรับมือกับมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับเชื้อ HPV

เสริมสร้างการดูแลสุขภาพป้องกัน - ภาพสื่อความสำคัญของการตรวจแปปสเมียร์และ HPV

การตรวจแปปสเมียร์ (Papanikolaou หรือ Pap smear) เป็นกระบวนการคัดกรองดูเซลล์มะเร็งและเซลล์ก่อนกลายเป็นมะเร็งในปากมดลูกหรือทวารหนัก สาเหตุของความผิดปกติของเซลล์ที่พบบ่อยคือเชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา หรือ HPV ตรวจวิเคราะห์ HPV สามารถใช้ตรวจหาเชื้อและระบุสายพันธุ์ของไวรัสที่ก่อโรค

HPV & ผลกระทบต่อเรา

เชื้อไวรัสฮิวแมนแพปพิลโลมา (HPV) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดในโลก โดยมีผู้ติดเชื้อหลายล้านคน ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าติดเชื้อ เพราะโดยมากไม่แสดงอาการและจะหายได้เอง HPV ไม่ใช่แค่โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น เพราะสามารถติดต่อผ่านการสัมผัสผิวหนัง แต่ส่วนใหญ่มักได้รับเชื้อระหว่างมีเพศสัมพันธ์


ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์เกือบทุกคนจะได้รับเชื้อ HPV บริเวณอวัยวะเพศอย่างน้อย 1 ชนิดในชีวิต

จากไวรัสที่เกี่ยวข้องกว่า 150 สายพันธุ์ มีเพียงบางสายพันธุ์เท่านั้นที่ก่อให้เกิดอันตรายรุนแรง

HPV ชนิดที่อยู่บนผิวหนัง: HPV ชนิดนี้ก่อให้เกิดหูดที่ผิวหนัง (เนื้องอกที่ไม่ร้ายแรง) บริเวณมือ เท้า แขน หน้าท้อง หรืออก

HPV ชนิดที่พบในเยื่อบุอวัยวะเพศ: HPV ประเภทนี้มักแค่ติดเฉพาะเยื่อบุ เช่น บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก ช่องปากและลำคอ แบ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงต่ำและกลุ่มเสี่ยงสูง

  • HPV กลุ่มเสี่ยงต่ำ ก่อให้เกิดหูดบริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนักได้ทั้งในเพศหญิงและชาย HPV สายพันธุ์ 6 และ 11 สร้างหูดกว่า 90% แต่แทบไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง (การติดเชื้อเรื้อรังหรือยาวนานอาจก่อให้เกิดมะเร็งเมื่อเวลาผ่านไป) หูดมักปรากฏได้ที่ปากมดลูกและช่องคลอด ซึ่งยากจะสังเกตเห็นหากไม่ตรวจอย่างถูกต้อง
  • HPV กลุ่มเสี่ยงสูง ก่อให้เกิดมะเร็งปากมดลูก รวมถึงมะเร็งลำไส้ ทวารหนัก ช่องคลอด แคมใหญ่ อวัยวะเพศชาย และต่อมทอนซิล แต่ใช่ว่า HPV เสี่ยงสูงทุกชนิดจะก่อมะเร็ง เพียงแต่บางสายพันธุ์ เช่น 16 และ 18 เพิ่มความเสี่ยงเท่านั้น

การติดเชื้อ HPV พบบ่อยในสาววัยต่ำกว่า 21 ปี และโดยปกติมักหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน การตรวจคัดกรองสำหรับผู้หญิงอายุต่ำกว่า 25 ปียังไม่เป็นที่แนะนำ

การตรวจแปปสเมียร์ & ทดสอบ HPV

การตรวจแปปสเมียร์ (Pap smear) เป็นการตรวจคัดกรองหามะเร็งและเซลล์ก่อนจะกลายเป็นมะเร็ง ชื่อของการตรวจนี้มาจากผู้คิดค้น Dr. Georgios Nikolaou Papanikolaou แปปสเมียร์และการทดสอบ HPV สามารถทำแยกกันหรือพร้อมกัน (co-testing) ทั้งสองวิธีมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและค้นหาความผิดปกติ

การตรวจแปปสเมียร์จะตรวจหาเซลล์ผิดปกติบริเวณปากมดลูกหรือทวารหนัก การตรวจสม่ำเสมอช่วยเพิ่มโอกาสตรวจพบระยะเริ่มต้นของมะเร็ง เพิ่มโอกาสรักษาหาย รวมทั้งตรวจพบเซลล์ก่อนมะเร็งเพื่อกำจัดเสียก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง ทำให้ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้ถึง 95%

การทดสอบ HPV ใช้ตรวจหา DNA ของเชื้อ HPV หากพบเซลล์ปากมดลูกผิดปกติจากแปปสเมียร์ การทดสอบนี้จะบอกชนิดของ HPV และประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งได้

แอ่งตรวจหรือสเปคูลัมเป็นเครื่องมือแพทย์ที่สูตินรีแพทย์ใช้เปิดขยายช่องคลอดเพื่อมองเห็นปากมดลูก การเก็บเซลล์สำหรับแปปสเมียร์หรือ HPV test จะใส่สเปคูลัมในช่องคลอดแล้วใช้แปรงหรืออุปกรณ์ขูดเก็บตัวอย่างเซลล์ ส่งต่อไปยังห้องแล็บเพื่อตรวจวิเคราะห์

ฉันควรตรวจแปปสเมียร์ไหม?

เมื่อผู้หญิงอายุครบ 21 ปี แนะนำให้ตรวจแปปสเมียร์ทุก 3 ปี

เมื่ออายุครบ 30 ปี การตรวจแปปสเมียร์ทุก 3 ปีสามารถเปลี่ยนเป็นการตรวจ HPV (หรือทั้งสองอย่าง) ทุก 5 ปี หากมีผลตรวจแปปสเมียร์ 3 ครั้งติดต่อกันที่ไม่มีเซลล์ผิดปกติและอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป สามารถหยุดการตรวจเหล่านี้ได้

แนะนำให้ตรวจสม่ำเสมอ แม้จะยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ เคยฉีดวัคซีน HPV หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือนแล้วก็ตาม

หมออาจแนะนำให้ตรวจแปปสเมียร์หรือ HPV บ่อยขึ้นในกรณีที่:

หากคุณเคยได้ผลตรวจแปปสเมียร์ผิดปกติ หรือเคยเป็นมะเร็งปากมดลูก

ผู้หญิงที่มีประวัติเคยมีเซลล์ก่อนมะเร็งหรือมะเร็งปากมดลูกควรตรวจบ่อยเพื่อตรวจเจอความผิดปกติแต่เนิ่น ๆ

หากคุณติดเชื้อ HIV

ผู้หญิงที่มีเชื้อ HIV มีความเสี่ยงสูงขึ้นต่อมะเร็งปากมดลูกและปัญหาในปากมดลูก หากตรวจพบ HIV ควรตรวจแปปสเมียร์ทันที และซ้ำอีกครั้งในอีก 6-12 เดือน หลังได้ผลปกติ 3 ครั้ง ติดต่อกันจึงสามารถเว้นระยะตรวจได้ทุก 3 ปี

หากภูมิคุ้มกันของคุณอ่อนแอ

ไม่ว่าจากการปลูกถ่ายอวัยวะ เคมีบำบัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์ ภูมิคุ้มกันต่ำทำให้ติดเชื้อง่ายและอาจเป็นรุนแรง แม้แต่การติดเชื้อ HPV เล็กน้อยก็อาจไม่หายเอง

หากแม่ของคุณได้รับยาไดเอทิลสติลเบสตรอเมื่อครั้งตั้งครรภ์

ไดเอทิลสติลเบสตรอ (DES) คือฮอร์โมนเอสโตรเจนสังเคราะห์ที่ใช้ระหว่างปี ค.ศ. 1940-1971 (บางประเทศในยุโรปใช้ถึงปี 1978) ให้หญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันแท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ

DES ปัจจุบันถือเป็นสารรบกวนระบบต่อมไร้ท่อ หนึ่งในกลุ่มสารที่รบกวนฮอร์โมนจนก่อให้เกิดมะเร็ง ความพิการแต่กำเนิด และความผิดปกติพัฒนาการอื่น ๆ

ขั้นตอนรวดเร็วและสำคัญ - วิธีตรวจแปปสเมียร์และ HPV อย่างกระชับ

การเข้ารับการตรวจ

แปปสเมียร์และ HPV test ใช้เวลาประมาณ 5 นาที มีสิ่งที่ควรเตรียมตัวเพื่อให้การตรวจเป็นไปอย่างราบรื่น

แจ้งข้อมูลกับคุณหมอ

การแจ้งให้แพทย์ทราบถึงยาที่คุณรับประทานทุกชนิด รวมถึงยาคุมกำเนิดเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฮอร์โมนในยาคุมอย่างเอสโตรเจนหรือโปรเจสตินอาจมีผลต่อผลลัพธ์การตรวจ รวมทั้งแจ้งหากเคยมีผลตรวจผิดปกติในอดีต

หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ อย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนตรวจ เพราะอาจกระทบต่อผลลัพธ์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าอสุจิ และไม่ควรสวนล้างช่องคลอด (โดยทั่วไปไม่แนะนำให้สวนอยู่แล้ว) หากเป็นสาวบริสุทธิ์หรือรูปร่างเล็ก สามารถแจ้งคุณหมอขอใช้สเปคูลัมขนาดเล็กได้ด้วย

วางแผนวันตรวจไม่ให้ตรงกับประจำเดือน

พยายามอย่านัดตรวจในช่วงที่กำลังมีประจำเดือน แม้สามารถตรวจได้ แต่ผลอาจผิดเพี้ยน

แจ้งคุณหมอหากกำลังตั้งครรภ์

ส่วนใหญ่แล้ว แปปสเมียร์หรือ HPV test สามารถทำได้จนถึง 24 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ หลังจากนั้นการตรวจอาจเจ็บขึ้น หลังคลอดควรรอ 12 สัปดาห์ค่อยตรวจใหม่ เพราะผลตรวจอาจผิดปกติเมื่อเพิ่งคลอด

ขอให้คุณรู้สึกปลอดภัย

การผ่อนคลายช่วยให้การตรวจผ่านไปด้วยดี อย่าลืมหายใจลึก ๆ และตั้งสติ การตรวจปกติไม่ควรเจ็บแต่บางครั้งอาจรู้สึกไม่สบาย สตรีบางคนรู้สึกเหมือนถูกหยิกเล็กน้อย หากกังวลเรื่องเจ็บสามารถรับยาบรรเทาปวดที่ไม่มีใบสั่งยาก่อนตรวจหนึ่งชั่วโมง

หากเคยถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือมีความวิตกกังวลจนตรวจยาก ควรแจ้งแพทย์เพื่อให้ช่วยดูแลและปรับวิธีการตรวจให้อบอุ่นใจ

หากพบมีเลือดออกกะปริบกะปรอยหลังตรวจอย่าตกใจ มักไม่เป็นอันตราย หากเลือดยังคงอยู่ควรกลับไปปรึกษาแพทย์

ผลการตรวจ

ปกติใช้เวลา 1-3 สัปดาห์จึงจะทราบผล มีความเป็นไปได้ 3 กรณี:

ผลลบ/ปกติ: พบแต่เซลล์ปากมดลูกปกติ ไม่ต้องรักษาเพิ่มเติม รอรอบตรวจครั้งถัดไป

ผลไม่ชัดเจน: ไม่สามารถสรุปได้ว่าเซลล์ผิดปกติหรือไม่ หากผลไม่ชัดเจน แพทย์อาจนัดตรวจละเอียดทันทีหรือขอให้กลับมาตรวจซ้ำในอีก 6-12 เดือน

ผลบวก/ผิดปกติ: หากพบเซลล์ผิดปกติหรือน่าสงสัย อาจจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม พบเซลล์ผิดปกติไม่ได้หมายความว่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูกทันที แต่ควรระวังหากพบ HPV สายพันธุ์เสี่ยงสูง

หากรอมากกว่า 3 สัปดาห์แล้วยังไม่ทราบผล ให้โทรสอบถามคลินิกหรือโรงพยาบาล

หากผลเป็นบวก

ถ้าผลตรวจพบการติดเชื้อเล็กน้อย แพทย์อาจนัดตรวจซ้ำในอีก 1 ปี หากเจอเปลี่ยนแปลงรุนแรงหรือพบเซลล์มะเร็ง อาจต้องตรวจ Colposcopy

Colposcopy ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ลักษณะเหมือนตรวจภายในโดยแพทย์จะใช้สเปคูลัมขยายช่องคลอดและมองปากมดลูกโดยตรง อาจใช้กรดน้ำส้มหรือสารไอโอดีนอ่อน ๆ เช็ดที่ปากมดลูกเพื่อเน้นเซลล์ผิดปกติ อาจรู้สึกแสบหรือตึงได้

แพทย์อาจเก็บเนื้อเยื่อขนาดเล็กไปวิเคราะห์ (biopsy) หากพบหลายตำแหน่งผิดปกติ อาจเก็บหลายตัวอย่าง ผลของ colposcopy จะเป็นตัวกำหนดการรักษาต่อไป


ระบบ Bethesda System (TBS) คือมาตรฐานศัพท์ใช้รายงานรายละเอียดผลการตรวจ หากผลเป็นบวก ความผิดปกติจะถูกระบุด้วย TBS

ความผิดปกติของเซลล์สความัส

เซลล์สความัสเป็นเซลล์แบนบางที่อยู่ชั้นนอกสุดของผิวหนัง ความผิดปกติของเซลล์นี้มี 4 กลุ่ม:

เซลล์สความัสผิดปกติแบบไม่ชัดเจน (ASC) พบมากที่สุดในการตรวจแปปสเมียร์:

  • ASC-US: เซลล์สความัสผิดปกติแต่ไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด เซลล์ดูไม่ปกติแต่หาเหตุผลไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงอาจสัมพันธ์กับการติด HPV หรือสาเหตุอื่น
  • ASC-H: เซลล์สความัสผิดปกติซึ่งไม่สามารถยืนยันว่ามีรอยโรคขั้นสูงหรือไม่ และมีโอกาสเป็น precursor ของมะเร็งสูงกว่า ASC-US

Intraepithelial lesion (SIL) ของเซลล์สความัส คือการเปลี่ยนแปลงผิดปกติของเซลล์สความัส แบ่งเป็นสองระดับ:

  • Low-grade SILs (LSILs): เป็นความผิดปกติเล็กน้อย มักเกิดจากการติด HPV โดยเฉพาะในหญิงวัยรุ่น มักฟื้นฟูปกติเมื่อภูมิคุ้มกันขับไล่เชื้อ
  • High-grade SILs (HSILs): มีความผิดปกติรุนแรง มีแนวโน้มกลายเป็นมะเร็งสูงหากไม่ได้รับการรักษา

Carcinoma in situ (CIS) คือกลุ่มเซลล์ที่ผิดปกติมากคล้ายเซลล์มะเร็งแต่ยังไม่แพร่เข้าสู่หรือเลยปากมดลูก

Squamous cell carcinoma (SCC) หรือ epidermoid carcinoma คือมะเร็งที่เริ่มต้นจากเซลล์สความัส

ความผิดปกติของเซลล์ต่อม (Glandular cell)

เซลล์ต่อม อยู่ที่ปากมดลูกและเยื่อบุโพรงมดลูก เมื่อเซลล์เหล่านี้เปลี่ยนแปลงผิดปกติจะเรียกว่า Glandular cell abnormality

Atypical glandular cells (AGC) คือเซลล์ต่อมที่ผิดปกติแต่ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น Endocervical adenocarcinoma in situ (AIS) เป็นภาวะที่เซลล์ผิดปกติรุนแรงแต่ยังไม่แพร่ลุกลามไปนอกบริเวณเนื้อเยื่อปากมดลูก

มะเร็งอะดีโนคาร์ซิโนมา (Adenocarcinoma) คือมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ต่อม พบได้ในปากมดลูก ช่องคลอด มดลูก และเนื้อเยื่อนอกมดลูก

แม้ชีวิตจะยุ่งเพียงใด อาการเจ็บป่วยเล็กน้อยอาจดูเหมือนไม่สำคัญ แต่นัดตรวจเป็นประจำสามารถสร้างความแตกต่างระหว่างโชคดีเฉียดฉิวกับมะเร็งระยะสุดท้าย

คุณสามารถติดตามประจำเดือนของคุณด้วย WomanLog ดาวน์โหลด WomanLog ได้แล้ว:

ดาวน์โหลดบน App Store

ดาวน์โหลดบน Google Play

แชร์บทความนี้:
https://www.healthline.com/health/pap-smear
https://www.cancer.gov/publications/dictionaries/cancer-terms/def/papanicolaou-test
https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/pap-smear/about/pac-20394841
https://www.cancer.gov/types/cervical/hp/cervical-screening-pdq#_133_toc
https://www.womenshealth.gov/a-z-topics/pap-hpv-tests
https://www.healthline.com/health/speculum
https://www.healthline.com/health/vaginal-speculum
https://www.healthline.com/health/do-pap-smears-hurt
https://www.webmd.com/women/guide/what-to-expect-from-an-ob-gyn-visit#2
https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/pap-smear/expert-answers/pap-smear/faq-20057782
https://www.who.int/medical_devices/diagnostics/selection_in-vitro/selection_in-vitro-meetings/00028_04_WHO_Guidelines.pdf?ua=1
https://www.cancer.gov/about-cancer/causes-prevention/risk/hormones/des-fact-sheet#what-is-des
https://www.mayoclinic.org/tests-procedures/colposcopy/about/pac-20385036
https://www.webmd.com/women/guide/pap-smear#1
https://medlineplus.gov/ency/article/003911.htm
https://www.cancer.org/cancer/cancer-causes/infectious-agents/hpv/hpv-and-hpv-testing.html
https://labtestsonline.org/tests/human-papillomavirus-hpv-test
Advertisement


ธาตุเหล็กเป็นแร่ธาตุจำเป็นสำหรับการสร้างเฮโมโกลบิน ขนส่งออกซิเจน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และหน้าที่สำคัญอื่นๆ ในร่างกาย น่าเสียดายที่ปัญหาขาดธาตุเหล็กเป็นรูปแบบหนึ่งของภาวะขาดสารอาหารซึ่งพบมากที่สุดในโลก มารู้จักอาการขาดธาตุเหล็กและผลกระทบที่มีต่อสุขภาพกันเถอะ
บวมน้ำ หรือการบวมของเนื้อเยื่อ เป็นปฏิกิริยาปกติต่อการอักเสบและบาดเจ็บ อาการบวมช่วยปกป้องบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บและส่งเสริมการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ หากสาเหตุของอาการบวมชัดเจน เช่น ข้อเท้าหัก หรือถูกแมลงกัดต่อย และไม่มีอาการรุนแรงอื่นร่วมด้วย ส่วนใหญ่อาการจะหายเองในไม่กี่วัน
ฮัดชิ้ว! มีใครกำลังจามบ่อย น้ำมูกไหล คันตา น้ำตาไหล และคันหรือไม่สบายตัวโดยไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันบ้างไหม? อาการแพ้สามารถน่ารำคาญและแสดงออกได้หลากหลายรูปแบบ แต่ก็สามารถดูแลและจัดการได้เช่นกัน