ถึงแม้จะดูน่าตกใจ แต่อาการแบบนี้ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นบ่อยกว่าที่คุณคิด คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตหรือรู้สึกจี้ดๆ ชั่วขณะขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุไหม? ความรู้สึกแบบนี้พบได้บ่อยขึ้นในช่วงก่อนหมดประจำเดือน เมื่อระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อลักษณะการทำงานของเส้นประสาทของเรา แต่อาการนี้ก็ยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้อีกหลากหลายด้วย
ไฟฟ้าชีวภาพ หรือไฟฟ้าในร่างกายมนุษย์ เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก ทุกคนต่างมีคลื่นไฟฟ้าพุ่งผ่านระบบประสาทของตัวเอง ควบคุมการเคลื่อนไหว ความคิด และการทำงานต่างๆ ในร่างกาย ความรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตเป็นอาการที่พบบ่อย เช่น เมื่อศอกกระแทกกับของแข็ง กระตุ้นเส้นประสาทอัลนาร์ซึ่งวางตัวขนานไปตามแขนและอยู่ตื้นใกล้ผิวหนังที่ข้อพับแขน แต่หากมีความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตเกิดขึ้นบ่อยๆ หรือปวดมากโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน อาจเป็นสัญญาณของภาวะสุขภาพที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นได้
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้คุณรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตขึ้นมาอย่างกะทันหัน อาการเหล่านี้พบได้บ่อยและส่วนมากไม่มีอันตราย อาการชั่วคราวอย่างเช่น รู้สึกซ่า แสบ ชา เหมือนเข็มทิ่ม หรือแม้แต่อาการคล้ายไฟฟ้าช็อตเหล่านี้ อยู่ในกลุ่มอาการผิดปกติของความรู้สึก (พาเรสทีเซีย—paraesthesia)
น่าเสียดายที่ผู้หญิงจำนวนมากซึ่งพบปัญหานี้มักไม่ได้รับความใส่ใจอย่างจริงจัง อาการซึ่งอาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพ กลับมักถูกลดทอนเหลือเป็นแค่ไฟฟ้าสถิต หรือ “คิดไปเอง” แต่อาการรู้สึกเหมอนไฟฟ้าช็อตในร่างกายนั้นเป็นเรื่องจริงและมีสาเหตุที่เป็นไปได้มากมาย
สาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของอาการชา จี้ด หรือซ่าภายในร่างกาย คือ แรงกดทับบนเส้นประสาท หรือเลือดไหลเวียนไม่ดีเป็นช่วงๆ ร่างกายมีเครือข่ายเส้นประสาทซับซ้อนที่ส่งสัญญาณไปกลับระหว่างสมองกับร่างกาย เส้นประสาทช่วยให้เราทำงานและมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบตัว เมื่อเส้นประสาทถูกกดทับหรือบาดเจ็บ อาจทำงานผิดปกติ ส่งสัญญาณแปลกๆ จนเกิดความรู้สึกคล้ายถูกไฟฟ้าช็อต
เส้นประสาทถูกกดทับนั้นเกิดได้ง่ายมาก เส้นประสาทแผ่กระจายทั่วร่างกายและไวต่อการเคลื่อนไหวและประสบการณ์ต่างๆ ในชีวิตจงวัน จุดที่มีปลายประสาทอยู่มากที่สุดต่อพื้นที่ 1 ตารางเซนติเมตร ได้แก่ ปลายนิ้ว ตา สะดือ หัวนม ริมฝีปาก และอวัยวะเพศ บางตำแหน่งเส้นประสาทจะอยู่ใกล้ผิวหนังหรือเสี่ยงต่อการถูกกดทับ
กลุ่มอาการโพรงข้อมือ (carpal tunnel syndrome) เป็นอาการที่พบบ่อย โดยมากเกิดจากการเคลื่อนไหวข้อมือซ้ำๆ เช่น การพิมพ์โดยไม่รองข้อมือ ใช้เมาส์ที่ไม่เหมาะสม เล่นเปียโน หรือใช้สว่านไฟฟ้า เนื้อเยื่อรอบๆ อักเสบและไปกดทับเส้นประสาทมีเดียนภายในข้อมือ ส่งผลให้เส้นประสาททำงานลดลงหรือถูกรบกวน การใช้ร่างกายส่วนนั้นซ้ำๆ โดยไม่ได้พัก หรือยืดกล้ามเนื้อ ก็ทำให้เส้นประสาทเสียหายได้ในระยะยาว
นอกจากนี้ ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น นั่งหลังงอ หรือก้มดูอุปกรณ์เป็นเวลานาน ส่งผลให้กระดูกสันหลังตึง และเส้นประสาทในคอและหลังส่วนบนถูกกดทับ ก่อให้เกิดอาการปวดและ ไมเกรน
อาการบาดเจ็บทางร่างกาย เช่น กระดูกหัก ข้อเคลื่อน หรือการกระทบกระเทือนเส้นประสาท สามารถนำไปสู่อาการพาเรสทีเซียและโรคประสาทต่างๆ หากรู้สึกเหมือนถูกไฟฟ้าช็อตหลังจากเกิดอุบัติเหตุที่ศีรษะ คอ หรือหลัง ให้รีบขอความช่วยเหลือทันที
ภาวะเสื่อมต่างๆ เช่น ข้อเสื่อม หรือ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้เกิดการอักเสบและกระตุ้นให้เกิดกระดูกงอก บริเวณข้อต่อหรือกระดูกสันหลัง การอักเสบและกระดูกงอกนี้ไปรบกวนหรือกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการผิดปกติได้
โรคปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) เป็นอีกภาวะหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับอาการเหมือนไฟฟ้าช็อต เส้นประสาทรอบนอก (ที่อยู่นอกสมองและไขสันหลัง) ทำหน้าที่รับสิ่งเร้าและส่งต่อไปยังระบบประสาทส่วนกลาง และควบคุมความรู้สึกต่างๆ ในร่างกาย หากเส้นประสาทเหล่านี้เสียหาย จะทำให้ความรู้สึกสัมผัส อุณหภูมิ และความเจ็บปวดเปลี่ยนแปลงไป อาจเกิดอาการเหมือนไฟฟ้าช็อต ชา หรือปวดแบบไม่คาดคิดได้
ปลายประสาทอักเสบมักสัมพันธ์กับ โรคเบาหวาน น้ำตาลในเลือดสูงทำลายผนังหลอดเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาท พอเลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงไม่พอ เส้นประสาทก็เสียหาย เบาหวานยังกระทบระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการอื่นๆ อีกมากในร่างกาย
พื้นที่ที่พบบ่อยคือฝ่าเท้าและฝ่ามือ บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต กล้ามเนื้อกระตุก หรือชาในจุดนั้น ๆ นี่เป็นอาการทั่วไปของเบาหวานที่สามารถนำไปสู่การทำลายเส้นประสาทอย่างรุนแรงและถึงขั้นเนื้อเน่าตามมาได้
ปลายประสาทอักเสบจากเบาหวานรักษาได้ด้วยยาตามใบสั่งของแพทย์ ออกกำลังกาย และกินอาหารจากพืชเป็นหลัก หากคุณมีอาการของปลายประสาทอักเสบยาวนาน โดยเฉพาะถ้ามีโรคเบาหวานหรืออยู่ในภาวะก่อนเป็นเบาหวาน แม้แต่เบาหวานขณะตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อบรรยายอาการและขอคำแนะนำ การเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น กินอาหารให้ถูกหลัก พยายามออกกำลังกายสม่ำเสมอ จะช่วยได้อย่างมาก
โรคอื่น ๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการเหมือนไฟฟ้าช็อตได้ (บางกรณีเป็นอาการนำ) ได้แก่:
หลายคนคงเคยเจอ ไฟฟ้าสถิต แน่นอน เวลาสัมผัสกับของบางอย่าง เช่น ลูกบิดประตู เสื้อกันหนาว หรือแม้แต่คนอื่นๆ แล้วรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อตเบาๆ ถือเป็นประสบการณ์ที่ใครๆ ก็รู้จัก ใครๆ ก็เอาไปใช้ทดลองสนุกกับเด็กๆ ได้
ไฟฟ้าสถิตคือการที่ประจุไฟฟ้าไปสะสมอยู่ที่ผิวของวัตถุ ทุกสสารในจักรวาลประกอบด้วยอะตอม โดยแต่ละอะตอมประกอบด้วยอิเล็กตรอน (ประจุลบ) โปรตอน (ประจุบวก) และนิวตรอน (ไม่มีประจุ) ในสภาพปกติ อะตอมมีจำนวนโปรตอนกับอิเล็กตรอนเท่ากันเลยเป็นกลางไฟฟ้า แต่อิเล็กตรอนสามารถเคลื่อนหลุดจากอะตอมได้ง่ายกว่าประจุอื่น เวลาขัดถูวัตถุสองชิ้น อิเล็กตรอนอาจจะย้ายจากวัตถุหนึ่งไปอีกวัตถุหนึ่ง ถ้าไม่มีวงจรให้อิเล็กตรอนไหลกลับ ประจุก็จะสะสมเป็นไฟฟ้าสถิตจนถึงจุดหนึ่ง อิเล็กตรอนมากไปก็เกิดประจุลบ ขาดอิเล็กตรอนก็เกิดประจุบวก ประจุตรงข้ามจะดึงดูดกัน ประจุเหมือนกันจะผลักกัน
เช่น เดินบนพรมไนลอนหรือโพลีเอสเตอร์ ขณะใส่รองเท้าพื้นยางหรือพลาสติก จะรับอิเล็กตรอนสะสม พอไปจับโลหะ (ซึ่งนำไฟฟ้าได้ดี) หรือบางสิ่งที่ประจุบวก ก็จะเกิดการคายประจุเกิดไฟฟ้าช็อตได้ หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง คือเวลาถอดหมวกขนสัตว์ หรือใช้ลูกโป่ง หรือถ้วยโฟมถูกับผม ผมจะลุกฟูเพราะแต่ละเส้นสะสมอิเล็กตรอน ทำให้ต่างเส้นผลักกันเอง
ฮอร์โมน—สารสื่อสารในร่างกาย—มีอิทธิพลต่อกระบวนการต่าง ๆ รวมถึงการรับสัมผัสในชีวิตประจำวัน แม้ฮอร์โมนจะไม่ได้ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตโดยตรง แต่ก็มีผลต่อสิ่งที่ทำให้เกิดไฟฟ้าสถิตสะสมบนผิวหนังได้
ฮอร์โมนช่วงวัยรุ่นหรือการตั้งครรภ์ รวมถึงรอบเดือน อาจเปลี่ยนสภาพผิวหนัง เช่น ระดับความชุ่มชื้น pH หรือไขมัน ซึ่งมีผลต่อความสามารถในการนำไฟฟ้าของผิว
น้ำเป็นตัวนำไฟฟ้า ผิวแห้งมีน้ำในชั้นผิวน้อย ทำให้ไฟฟ้าสถิตสะสมง่ายขึ้น ยิ่งผิวแห้ง ยิ่งเสี่ยงคายประจุไฟฟ้าสถิตเวลาไปจับอะไรเข้า
เหงื่อช่วยให้ผิวชุ่มชื้นและนำไฟฟ้าได้ดีขึ้น จึงลดโอกาสเกิดไฟฟ้าสถิตได้ แต่ฮอร์โมนอาจเปลี่ยนแปลงการหลั่งเหงื่อ ซึ่งมีผลต่อโอกาสเกิดไฟฟ้าสถิตในแต่ละวันเช่นกัน
หากคุณรู้สึกไฟฟ้าช็อตจากสถิตบ่อย ให้ลองสังเกตสิ่งแวดล้อมและวิธีดูแลผิว เช่น เครื่องปรับอากาศหรือลมเย็นทำให้อากาศแห้งได้ ควรถ่ายเทอากาศเป็นประจำ ใช้เครื่องเพิ่มความชื้น หรือปลูกต้นไม้ในบ้านช่วยเพิ่มความชื้นในอากาศ เสื้อผ้าไนลอน ขนสัตว์ หรือวัสดุสังเคราะห์ เป็นสาเหตุหลักของไฟฟ้าสถิต การใช้ครีมหรือโลชั่นทาผิวช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตได้
ช็อกไฟฟ้าในร่างกายช่วงวัยก่อนหมดประจำเดือนและวัยหมดประจำเดือนคืออะไร?
ช่วงก่อนหมดประจำเดือน ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงเร็ว เหมือนช่วงวัยแรกรุ่น ร่างกายหญิงจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย รวมถึงอาการไม่สบายต่างๆ เช่น อาการเหมือนไฟฟ้าช็อต
ฮอร์โมนเพศหญิงอย่างเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนที่เปลี่ยนแปลง มีผลต่อการทำงานของเส้นประสาทโดยตรง ฮอร์โมนเปลี่ยนยังทำให้เลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทลดลงจนเกิดความเสียหายหรือปลายประสาทอักเสบด้วย นี่คือสาเหตุที่ผู้หญิงบางคนรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตขณะหมดหรือใกล้หมดประจำเดือน ความรู้สึกแบบนี้มักเป็นเหมือนการปวดแปลบหรือยิงแปลบในอวัยวะต่างๆ เช่น แขน ขา มือ หรือเท้า อาการจะแตกต่างกันไปตามความถี่ ความรุนแรง และอาจมาพร้อมอาการอื่น เช่น รู้สึกซ่า ชา หรือแสบร้อน
อาการเหล่านี้พบได้บ่อยเหมือนไฟร้อนวูบในช่วงก่อนหมดประจำเดือน แต่อาการซ่าและจี้ดที่เกี่ยวกับฮอร์โมนก็พบได้ในผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือน
ระดับ เอสโตรเจน ขึ้นลงตลอดรอบเดือน บางคนจะมีความไวของเส้นประสาทเพิ่มขึ้นในบางช่วง ทำให้เกิดอาการแบบนี้ ฮอร์โมนเปลี่ยนยังมีผลต่อการไหลเวียนของเลือดและการกักของเหลวในร่างกาย ทำให้ร่างกายบวมหรือเส้นประสาทถูกกดทับมากขึ้น เกิดอาการชา ซ่า หรือ ช็อตในบางจุดได้
เราพูดถึงอาการช็อกไฟฟ้าทั่วไปที่เชื่อมโยงกับเส้นประสาทและฮอร์โมนไปแล้ว แต่อีกอาการหนึ่งที่ผู้หญิงบางคนเคยเจอ คือ ความรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตเฉพาะในอวัยวะเพศ หรือที่เรียกว่า lightning crotch
เยื่อบุโพรงมดลูกและปากมดลูกประกอบด้วยกล้ามเนื้อและปลายประสาทมาก บางภาวะ เช่น ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง การอักเสบ หรือแม้แต่การตรวจภายใน อาจกระตุ้นความไวของปลายประสาทจนเกิดอาการปวดแปลบเหมือนสายฟ้าฟาดในปากมดลูกหรือช่องคลอด
ในช่วงมีประจำเดือน มดลูกจะบีบตัวเพื่อขับเยื่อบุออกเป็นประจำเดือน บางครั้งการบีบตัวรุนแรงมาก อาจรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อต หรือช่วงตั้งครรภ์ขณะที่มดลูกขยายตัวเตรียมคลอด ก็ทำให้เกิดอาการเดียวกันได้
สาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการช็อตบริเวณนี้ ได้แก่:
ถ้าบางครั้งคุณรู้สึกเหมือนไฟฟ้าช็อตเบาๆ ในร่างกาย ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล มันเกิดกับทุกคนสักครั้งในชีวิต แต่ถ้าอาการรุนแรงขึ้น ถี่ หรือมีอาการอื่นร่วมกัน ให้ปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาถูกจุด
ดาวน์โหลด WomanLog ได้แล้วตอนนี้: