ใหม่! เข้าสู่ระบบเพื่อจัดการบัญชีของคุณ ดูบันทึก ดาวน์โหลดรายงาน (PDF/CSV) และดูข้อมูลสำรองของคุณ เข้าสู่ระบบที่นี่!
แชร์บทความนี้:

ฮอร์โมนส่งผลต่อคุณระหว่างรอบเดือนอย่างไร

ผู้หญิงในช่วงวัยเจริญพันธุ์จะมีรอบเดือนประมาณเดือนละครั้ง กระบวนการที่เกิดเป็นประจำนี้สัมพันธ์กับระบบต่าง ๆ ในร่างกายที่คอยประคองสมดุลและสนับสนุนความสามารถในการสืบพันธุ์ของเรา รอบเดือนจะไวต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อม อารมณ์ หรือปัจจัยอื่น ๆ

ภาพสื่อสาร: ผลกระทบของฮอร์โมนในช่วงรอบเดือน

ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายเกิดขึ้นมากมายตลอดช่วงรอบเดือน ฮอร์โมนหลักที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็คือฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ เอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน ส่วนฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน แม้จะถูกมองว่าเป็นฮอร์โมนเพศชาย แต่ทุกคนก็มีสร้างขึ้นในร่างกาย ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะมีรอบเดือนที่สม่ำเสมอ ความผิดปกติที่ไม่คาดคิดอาจเป็นสัญญาณว่าอาจเกิดปัญหาได้

ฮอร์โมนกับระดับพลังงานของคุณ

รอบเดือนแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ๆ คือ ระยะฟอลลิคูลาร์, ระยะตกไข่ และ ระยะลูทีล การขึ้นลงของระดับ เอสโตรเจน และ โปรเจสเตอโรน คือสิ่งที่กำหนดการเปลี่ยนแปลงที่เรารู้สึกในแต่ละช่วงของรอบเดือน บางครั้งอาจรู้สึกว่าพลังงานแปรผันหรือหดหายโดยไม่มีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงแล้ว การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นกระบวนการตามธรรมชาติที่ฮอร์โมนในร่างกายทำหน้าที่ประสานกัน


โปรดจำไว้ว่าร่างกายแต่ละคนตอบสนองต่อแต่ละระยะต่างกัน เราสามารถอธิบายภาพรวมในลักษณะทั่วไปเท่านั้น หากประสบการณ์ของคุณแตกต่างออกไป ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีปัญหาเสมอไป

ระยะฟอลลิคูลาร์ คือช่วงเวลาตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนจนถึงช่วงตกไข่ และสามารถแบ่งได้เป็น 2 ส่วน—ช่วงเป็นประจำเดือนและวันก่อนตกไข่:

  • วันแรกที่ ประจำเดือน มาถือเป็นวันแรกของรอบเดือน ช่วงนี้ระดับโปรเจสเตอโรนและเอสโตรเจนจะต่ำ นั่นหมายถึง พลังงานของคุณ จะต่ำลงเช่นกัน คุณอาจอยากพักผ่อนเป็นอันดับแรกมากกว่าการทำงาน เข้าสังคม หรือออกกำลังกายหนัก ๆ
  • ส่วนที่สองของระยะฟอลลิคูลาร์เริ่มขึ้นหลังประจำเดือนหมด ฮอร์โมนในร่างกายจะส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อมสำหรับการตกไข่ ระดับเอสโตรเจนจะเพิ่มสูงขึ้น ตามด้วยเทสโทสเตอโรน ทำให้คุณรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้น เข้าสังคมง่ายขึ้น พลังงาน จะพุ่งสูงในช่วงนี้ (ราวสัปดาห์ที่ 2) คุณอาจรับมือกับงานยาก ๆ ได้ดีขึ้น ออกกำลังกายหนักขึ้น และเข้าสังคมมากขึ้น รวมถึงมีความต้องการทางเพศและถึงจุดสุดยอดได้ง่ายกว่าเดิมด้วย

ระยะตกไข่ เป็นระยะต่อไปและสั้นที่สุดในรอบเดือน โดยจะใช้เวลาประมาณ 24 ชั่วโมง มักเกิดในวันที่ 14 ของรอบเดือนนับจากวันแรกของฟอลลิคูลาร์ ระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะสูงที่สุดระยะนี้ ทำให้ต่อมใต้สมองผลิต ฮอร์โมนลูทีไนซิง (LH) เพื่อกระตุ้นให้ไข่ตก หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ จะถูกดูดซึมกลับเข้าสู่ร่างกาย ก่อนจะถูกดูดซึม ร่างกายจะพยายามผลักดันโอกาสตั้งครรภ์ให้มากที่สุด คุณจะรู้สึกมีความต้องการทางเพศสูงขึ้นและรับรู้กลิ่นไวขึ้น งานวิจัยพบว่าผู้หญิงจะดูมีเสน่ห์ขึ้นและรู้สึกสวยขึ้นในช่วงตกไข่ พลังงาน จะสูงสุด เป็นช่วงเหมาะแก่การทำงานหรือสร้างความสัมพันธ์

ระยะลูทีล เริ่มขึ้นหลังมีการตกไข่ (ถ้าไม่มีการปฏิสนธิ) จะอยู่ราว 14 วัน ในระยะนี้ โปรเจสเตอโรน จะเพิ่มขึ้นเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งครรภ์ คุณอาจรู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้น พลังงานจะลดลง แม้แต่ละคนจะได้รับผลกระทบไม่เท่ากัน แต่นี่เป็นผลทางร่างกายที่วัดได้ ช่วงนี้มักมีอาการ PMS มาด้วย ควรเน้นการบำรุงและผ่อนคลาย


หากไข่ไม่ได้รับการปฏิสนธิ ระดับเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนจะลดลง เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอก เริ่มรอบใหม่อีกครั้ง

Optimize Life: ใช้แอปติดตามรอบเดือน เช่น WomanLog เพื่อปรับสมดุลพลังงานและอารมณ์สำหรับไลฟ์สไตล์ที่สมดุล


ผู้หญิงยุคใหม่ตระหนักถึงอิทธิพลของรอบเดือนที่มีต่อชีวิตมากขึ้น การสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะช่วยให้จัดการกับความผันผวนในแต่ละรอบเดือนง่ายขึ้น คุณสามารถวัดอุณหภูมิร่างกายในแต่ละเช้าร่วมกับตรวจดูตกขาว หรือใช้แอปติดตามรอบเดือน เช่น WomanLog เพื่อช่วยติดตามรอบของคุณ เลือกปรับกิจกรรมและอารมณ์ให้สอดคล้องกับพลังงานในแต่ละช่วง แทนที่จะฝืนทำทุกอย่างเหมือนเดิมตลอดทั้งเดือน อาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ไลฟ์สไตล์ที่สมดุลมากขึ้น


แม้ว่าอาการ PMS และพลังงานที่ผันผวนจะเป็นเรื่องปกติ แต่หากรู้สึกอ่อนแรงขาดแรงบันดาลใจตลอดเวลา หรือ PMS รุนแรงมากจนใช้ชีวิตลำบาก อาจเป็นสัญญาณของปัญหาร้ายแรงหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมน ควรรับฟังร่างกายตัวเองและปรึกษาแพทย์เมื่อรู้สึกผิดปกติ

ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล

ฮอร์โมนเปรียบได้กับสารเคมีที่ส่งสัญญาณสั่งการบางอย่างกับร่างกาย เมื่อฮอร์โมนไม่สมดุล การสื่อสารนี้ก็คลาดเคลื่อนจนเป็นปัญหาตามมาได้

หากฮอร์โมนที่มีผลต่อรอบเดือนไม่สมดุล เกิดอะไรขึ้นบ้าง?

ภาวะเอสโตรเจนเกิน คือร่างกายผลิตเอสโตรเจนมากเกินไปและมีโปรเจสเตอโรนไม่พอ ซึ่งโดยปกติเอสโตรเจนนอกจากช่วยควบคุมรอบเดือนแล้วยังดีต่อกระดูกและเนื้อเยื่อด้วย แต่ถ้ามากเกินไปจะก่อให้เกิด ประจำเดือนมามากและเจ็บปวด อาการ PMS รุนแรงขึ้น ความต้องการทางเพศลดลง และอาจ มีแนวโน้มวิตกกังวลหรือซึมเศร้ามากขึ้น เอสโตรเจนเกินยังเชื่อมโยงกับโรคอื่น ๆ เช่น มะเร็งเต้านม เนื้องอก โปลีซีสติกซินโดรม (PCOS) และเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่

โปรเจสเตอโรนเกิน คือร่างกายสร้างโปรเจสเตอโรนมากแต่เอสโตรเจนน้อย ไม่พบได้บ่อยเท่าเอสโตรเจนเกินแต่ก็สร้างปัญหาได้เหมือนกัน อาการที่พบบ่อยของโปรเจสเตอโรนเกินมีทั้ง อ่อนเพลีย ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอารมณ์แปรปรวน ภาวะนี้มักพบในผู้หญิงที่ได้รับฮอร์โมนบำบัด

สาเหตุของภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล

ฮอร์โมนที่ไม่สมดุลส่วนใหญ่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น ความเครียด หรือฮอร์โมนคุมกำเนิด สาเหตุจะแตกต่างกันไปตามฮอร์โมนหรืออวัยวะที่เกี่ยวข้อง สิ่งที่พบบ่อย ได้แก่:

ความเครียด เป็นต้นเหตุของปัญหาสุขภาพมากมาย รวมถึงภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เมื่อเราเครียด ร่างกายจะสร้าง คอร์ติซอล (ฮอร์โมนความเครียด) ทำให้หัวใจเต้นเร็วและความดันสูงขึ้น คอร์ติซอลเป็นกระตุ้นแรกในกลไกสู้หรือหนี หากเครียดเรื้อรัง ร่างกายก็จะผลิตคอร์ติซอลอยู่ตลอดจนตกอยู่ในภาวะตื่นตัวทั้งร่างกาย


ความเครียดเรื้อรังทำให้คอร์ติซอลสูงตลอดเวลา ร่างกายจึงอยู่ในภาวะตื่นตัวตลอด ก่อให้เกิดอาการไม่สบายหลายประการเช่น หงุดหงิด, ปวดศีรษะ, แสบร้อนกลางอก, นอนไม่หลับ และ อ่อนเพลีย — จากบทความ “ผลกระทบของความเครียดต่อสุขภาพทางเพศและการเจริญพันธุ์ของผู้หญิง”

ฮอร์โมน คุมกำเนิดบางชนิด จะยับยั้งการตกไข่โดยไปขัดขวางการสร้างโปรเจสเตอโรน ทำให้เสี่ยงต่อภาวะเอสโตรเจนเกิน ฮอร์โมนโปรเจสติน (สังเคราะห์) เป็นส่วนประกอบหลักในคุมกำเนิดหลายแบบ ทำงานโดยยับยั้งการตกไข่จากรังไข่

การดีท็อกซ์ คือกระบวนการขับพิษออกจากร่างกาย โดยเฉพาะที่ทำผ่าน ตับ ซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในการกำจัดเอสโตรเจนส่วนเกิน หากตับทำงานไม่ดี คุณอาจมีเอสโตรเจนสะสมเกินปกติได้

มีภาวะทางการแพทย์ หลายอย่างที่ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล

เช่น:

  • ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ (Hypothyroidism)
  • ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนสูง (Hyperthyroidism)
  • กลุ่มอาการถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS)
  • โรคการกินผิดปกติ
  • ภาวะต่อมเพศต่ำ (Hypogonadism)
  • กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing syndrome)
  • เนื้องอก (ไม่ร้ายแรงหรือลุกลาม)
  • ภาวะต่อมหมวกไตทำงานน้อย (Adrenal insufficiency)
  • เบาหวาน (Diabetes)

ปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ฮอร์โมนไม่สมดุล ได้แก่ การตั้งครรภ์, วัยหมดประจำเดือน, พันธุกรรม, และการใช้ ยา บางชนิด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการผลิตฮอร์โมนและควรพิจารณาเมื่อดูแลภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล

การปรับสมดุลฮอร์โมนและพลังงาน

เริ่มต้นที่ หาต้นเหตุ ของความไม่สมดุล อย่าวินิจฉัยเองเพราะร่างกายมีความซับซ้อนและอาจทำให้กังวลเกินจำเป็น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอความคิดเห็นเฉพาะบุคคลและแนวทางแก้ไขที่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีการตรวจเดียวที่หาเหตุของภาวะนี้ได้ครบ อาจต้องตรวจหลายอย่างกว่าจะเจอคำตอบ

การรักษา ขึ้นอยู่กับต้นเหตุ มีหลายแนวทางในการปรับสมดุลฮอร์โมน เช่น ฮอร์โมนคุมกำเนิด และ การบำบัดด้วยฮอร์โมนรูปแบบต่าง ๆ ตัวเลือกเหล่านี้หลายอย่างอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ

สมุนไพรและอาหารเสริมธรรมชาติ สามารถเสริมการรักษาทางการแพทย์ หรือในบางกรณีอาจเพียงพอ แต่อาหารบางกลุ่มส่งผลต่อฮอร์โมนแตกต่างกันในแต่ละคน อาหารเสริมที่ดีมีคุณภาพจะช่วยเติมสารอาหารสำคัญที่จำเป็นต่อสุขภาพโดยรวม

แม้จะไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้โดยสิ้นเชิง แต่การกินอาหารครบหมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และจัดการความเครียดให้ดี จะช่วยให้คุณรับมือกับสิ่งที่กระทบร่างกายได้ดีกว่าที่คิด

การติดตามรอบเดือนช่วยอะไรคุณได้บ้าง

การจดบันทึกรอบเดือนให้อะไรมากกว่าการคุมกำเนิด เพราะจะช่วยให้คุณคาดการณ์พลังงาน วางแผนกิจกรรมประจำเดือนได้ดีขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงผิดปกติของร่างกาย ทำให้รับรู้ปัญหาเร็วและจัดการได้ทันท่วงที 

คุณสามารถติดตามรอบเดือนของคุณด้วยแอป WomanLog ดาวน์โหลด WomanLog ได้เลย:

ดาวน์โหลดบน App Store

ดาวน์โหลดบน Google Play

แชร์บทความนี้:
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK279054/#:~:text=Estrogen%20levels%20rise%20and%20fall,end%20of%20the%20menstrual%20cycle
https://www.msdmanuals.com/home/women-s-health-issues/biology-of-the-female-reproductive-system/menstrual-cycle
https://www.womansday.com/health-fitness/womens-health/a1605/a-month-in-the-life-of-your-hormones-107587/
https://www.healthline.com/health/womens-health/stages-of-menstrual-cycle
https://www.myhormonology.com/what-your-energy-level-is-like-from-week-to-week-in-your-cycle/
https://www.ncbi.nlm.nih.gov/books/NBK546686/
https://www.medicalnewstoday.com/articles/321486
https://www.healthline.com/health/high-estrogen
https://www.thehollandclinic.com/blog/estrogen-dominance
https://www.restartmed.com/high-progesterone-symptoms/
https://www.healthline.com/health/hormonal-imbalance#natural-remedies
https://drhoffman.com/article/estrogen-dominance-syndrome-2/
Advertisement


โดยเฉลี่ย รอบเดือนของผู้หญิงจะอยู่ที่ 28 วัน ชีวิตประจำวันของเราส่งผลต่อฮอร์โมนและรอบเดือน เช่น ความเครียดสามารถทำให้ประจำเดือนมาช้าได้ ความผันผวนเล็กน้อยถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงมากกว่านั้นควรเข้ารับการตรวจ
Shark week. The crimson tide. การขี่ม้าฝ้าย เรามีคำเรียกประจำเดือนมากมายและสร้างสรรค์ แต่ก็คงไม่ช่วยให้สบายขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับความไม่สบายตัวที่มาพร้อมกัน
รอบเดือนของคุณมีอะไรมากกว่าการมีประจำเดือนในแต่ละเดือน ยังมีการเปลี่ยนแปลงทั้งที่สังเกตเห็นได้และมองไม่เห็นในร่างกาย ซึ่งส่งผลต่อคุณมากกว่าที่คุณอาจจะรู้ตัว